Gate of God - ตอนที่ 1151 ซ่อมท้องฟ้า
ตอนที่ 1151 ซ่อมท้องฟ้า
”ไม่!”ฉือโหย่วร้องตะโกน
จากนั้นร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับถูกแผดเผาจากด้านใน
ตู้ม!
ร่างที่ใหญ่โตของฉือโหย่วระเบิดออกโดยสมบูรณ์
ฉือโหย่วเลือกที่จะทำลายตัวเองในขณะที่แหล่งพลังเทพเจ้าถูกดึงออกไปแล้วเขาต้องการใช้พลังสุดท้ายทำลายล้างทุกอย่างให้หมดสิ้น
ครืน!
ตู้ม!
”…”
พื้นดินแตกออกทุกทิศทางลาวาไหล่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ภูเขาฉางหยางถูกกระทบกระเทือนจากแรงระเบิดโดยตรง การระเบิดครั้งสุดท้ายมีพลังมหาศาล
แม้แต่ฟางเจิ้งจือก็ไม่สามารถยับยั้งมันได้ในทันทีร่างของเขากระเด็นออกมาจากนั้นก็ทำได้แค่พยุงตัวอยู่บนอากาศ
”พื้นดินถูกทำลาย!”
”ภัยพิบัติจักรวาล…มันเกิดขึ้นอีกแล้ว?!”
”หนีรีบหนีเร็ว!”
”หนีไม่ได้พวกเราต้องหยุดภัยพิบัติครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม …ใครจะเป็นคนที่คอยออกคำสั่ง?”
เทพอสูรและเทพปีศาจกระวนกระวายอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเหล่าอสูรและปีศาจยังคงต้องการหยุดยั้งภัยพิบัติจักรวาลด้วยทุกวิถีทาง พวกเขาไม่ต้องการให้โลกใบนี้ถูกทำลายล้าง
ในไม่ช้าทุกคนก็มองไปที่ฟางเจิ้งจือ
”เจ้าไร้ยางอายมารดาแห่งโลกนำพาทุกคนหยุดยั้งภับพิบัติจักรวาล ในเมื่อข้ามีสายเลือดของนาง นี่ถือเป็นความรับผิดชอบของข้า!” ฉือกูเหยียนพูดขึ้น
เทพอสูรและเทพปีศาจหันมองฉือกูเหยียนในทันที
ถูกต้อง!
ในยุคก่อนพวกเขาติดตามมารดาแห่งโลกและหยุดยั้งภัยพิบัติจักรวาลไว้ในเมื่อฉือกูเหยียนสืบสายเลือดของมารดาแห่งโลกนางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
”เราจะติดตามมารดาแห่งโลก!”
”ข้าด้วย!”
”ข้าก็เช่นกัน!”
เทพอสูรและเทพปีศาจมองหน้ากันและเลือกที่จะติดตามฉือกูเหยียน
ด้านปิงหยางนางกำมือของฉือกูเหยียนเอาไว้แน่น นางรู้ดีว่าฉือกูเหยียนสามารถทำได้ แต่ในอดีตนั้นมารดาแห่งโลกใช้พลังทั้งหมดเพื่อหยุดยั้งภัยพิบัติจักรวาลและไม่สามารถกลับมายังโลกใบนี้ได้อีก ไม่มีใครรู้ว่าฉือกูเหยียนจะสามารถกลับมาอย่างมีชีวิตรอดหรือไม่
”ไม่เหยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องไป” ฟางเจิ้งจือส่ายหัว
”ข้าต้องทำเจ้าไร้ยางอาย เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าและโลกนี้ยังต้องการผู้ปกป้อง แม้ฉือโหย่วจะตายไปแล้วแต่ใครจะรู้ว่ามีเทพอสูรหรือเทพปีศาจตนอื่นถูกผนึกไว้อีกหรือไม่” ฉือกูเหยียนรู้ว่าฟางเจิ้งจือพยายามจะพูดอะไร แต่นางยืนยันที่จะตัดสินใจเช่นเดิม
”ใช่ฉือกูเหยียนพูดถูกแล้ว!”
”พวกเราจะหยุดยั้งภัยพิบัติจักรวาล…แม้จะต้องถูกขังอยู่ในนั้นอีกครั้ง…ฮ่าฮ่าฮ่า…พวกเราเพียงต้องยอมรับมัน”
ทุกคนพยักหน้า
ปิงหยางไม่พูดอะไรอีกแต่นางไม่เต็มใจอย่างที่สุดและมองฉือกูเหยียนเงียบๆ ขณะที่น้ำตาไหลริน
ฉือกูเหยียนลูบเส้นผมของปิงหยางเบาๆและพูดด้วยรอยยิ้ม”ปิงหยางเจ้าต้องดูแลเจ้าไร้ยางอายด้วยนะ”
”เหยียนเอ๋อร์ข้าบอกว่าไม่ให้ไป ไม่ใช่แค่เจ้า พวกอสูรและปีศาจก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ฟางเจิ้งจือพูดขึ้น
”…”
”หมายความว่าไง”
”ฟางเจิ้งจือเจ้าคิดอะไรอยู่?”
ครั้งนี้ทุกคนมองฟางเจิ้งจือด้วยสีหน้าที่สับสน
พวกเขาเข้าใจถ้าฟางเจิ้งจือพยายามจะหยุดฉือกูเหยียน
อย่างไรก็ตามทำไมต้องหยุดทุกคน?
ฟางเจิ้งจือตั้งใจจะมองดูโลกถูกแผดเผาไปเรื่อยๆหรือ?
คิดว่าจะจะหยุดภัยพิบัติจักรวาลได้ด้วยตัวคนเดียว?
เป็นไปไม่ได้! แม้ในยุคโบราณมารดาแห่งโลกก็ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องใหทุกคนร่วมมือกัน
มันคือภัยพิบัติจักรวาล
ระดับมันรุนแรงเกินไป
อุกาบาตเพลิงลุกท่วมนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งลงมาจากท้องฟ้าไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดอุกาบาตทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้
”เจ้าไร้ยางอายที่เจ้าพูด…” ฉือกูเหยียนสับสนเช่นกัน
”ใช่แล้วข้ากำลังจะพูดว่าข้าสามารถหยุดพวกมันได้ด้วยตัวคนเดียว”
”…”
”…”
เทพอสูรและเทพปีศาจอ้าปากค้าง
แม้จะเห็นนิสัยของฟางเจิ้งจือมาบ้างแต่ก็ยังตกใจเมื่อได้ยิน ”ไม่อวดดีเกินไปหรือ?”
”ภัยพิบัติจักรวาลคือหินจำนวนมากที่ตกจากฟ้าที่สำคัญคือมันกินพื้นที่เป็นวงกว้าง คนๆเดียวจะสามารถหยุดยั้งทั้งหมดได้อย่างไร?”
”เจ้าไร้ยางอายข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะทำอะไร แต่มันมีจำนวนมากเกินไป ..ข้าคิดว่า …”
”ถ้าข้าทำแปปปกติก็คงไม่สามารถหยุดยั้งภัยพิบัติจักรวาลได้ด้วยตัวคนเดียวหรอกอย่างไรก็ตามข้าสามารถป้องกันภัยพิบัติจักรวาลไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกได้” ฟางเจิ้งจือโบกมือ
”…”
”หมายความว่ายังไง?!”
”ป้องกันไม่ให้ภัยพิบัติจักรวาลเกิดขึ้นอีก?”
ฉือกูเหยียนปิงหยางและคนอื่นๆต่างสับสน
ฟางเจิ้งจือรู้ว่าตอนนี้ไม่สามารถอธิบายได้แต่เขาเข้าใจธรรมชาติของภับพิบัติจักรวาลแล้ว
มันคือฝนอุกาบาต!
ซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก
ฉือโหย่วได้ใช่พลังสุดท้ายและส่งผลกระทบทำให้วงโคจรบนโลกเปลี่ยนไป
เป็นเหตุผลเดียวกันกับการห้ามใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในโลกก่อนหน้า
การระเบิดของนิวเคลียร์นอกจากทำลายสิ่งแวดล้อมแล้ว หากทำการระเบิดสิบลูกในจุดเดียวกันอาจทำให้แรงโน้มถ่วงของโลกแปรปรวนได้
อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากในการอธิบายให้คนบนโลกนี้เข้าใจ
ฟางเจิ้งจือไม่สามารถอธิบายได้แต่รู้ว่าต้องทำยังไง เพียงแค่แก้ไขการโคจรของโลกให้ถูกต้อง
จากนั้นทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติ
”เจ้าไร้ยางอายสามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้จริงๆเหรอ?” ฉือกูเหยียนมองไปที่ฟางเจิ้งจือในสีหน้าที่จริงจัง
”ใช่พวกเรามาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว และข้าไม่สามารถสูญเสียพวกเจ้าได้อีก ไม่แม้แต่คนเดียว” ฟางเจิ้งจือพยักหน้าอย่างจริงจัง
”เจ้าไร้ยางอาย…”
”…”
”…”
ฉือกูเหยียนเงียบลง
ปิงหยางเหยียนซิวและคนอื่นๆก็เงียบเช่นกัน
ฟางเจิ้งจือไม่ได้พูดในสิ่งที่กล้าหาญหรือสูงส่งแต่พวกเขาทุกคนกลับรู้สึกถึงความจริงใจที่ฟางเจิ้งจือมีให้
ไม่จำเป็นต้องพูดคำอื่น
นั้นเพราะการแสดงออกของฟางเจิ้งจือพิสูจน์ทุกอย่างแล้ว ”หยุดภัยพิบัติจักรวาลด้วยตัวคนเดียว?”
”ฟางเจิ้งจือจะทำได้จริงหรือ?”
”…”
เทพอสูรและเทพปีศาจรู้สึกยากที่จะเชื่อ
อย่างไรก็ตามพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างจากฟางเจิ้งจือกลิ่นอายของคนที่เกิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดิ
มันทำให้พวกเขาค่อยๆก้มหัวลงช้าๆ…อย่างเต็มใจ
พวกอสูรและปีศาจรู้ดีว่าหากฟางเจิ้งจือสามารถทำได้เขาจะกลายเป็นเทพเจ้าที่แท้จริงบนโลก
”ข้าจะหยุดภัยพิบัติจักรวาลเอง!”ฟางเจิ้งจือมองลาวาที่พวกพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นก็ตะโกน “พื้นดิน!”
ตู้ม!
ตู้ม!
”…” หลังจากตะโกนหินมากมายก็ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งลงสู่พื้นลาวา
อย่างไรก็ตามจำนวนของหินไม่เพียงพอเพราะลาวาไหลทะลั่กมากเกินไป
”ภูเขา!”
”หิน!”
”พื้นดิน!”
”…”
ฟางเจิ้งจือยังคงตะโกนอย่างต่อเนื่องหินจำนวนมากปรากฎขึ้นทั้งบนท้องฟ้าและพื้นดิน
ราวกับหินพวกนั้นมีชีวิตเป็นของตนเอง
”ฝน!”
”ลม!”
”น้ำแข็ง!”
”…”
ห่าฝนปรากฎขึ้นทันที
สายลมรุนแรงทำให้ลาวาเย็นลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดภาคพื้นดินก็เริ่มสงบลง
”…”
ขณะนี้เทพอสูรและเทพปีศาจตกตะลึง
มันคือความประหลาดใจ
เพียงคนเดียวก็มีพลังมากพอจะหยุดยั้งลาวาให้หยุดปะทุได้ฉากตรงหน้าแสดงให้เห็นว่าฟางเจิ้งจือแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการได้
อย่างไรก็ตามอุกาบาตที่ลุกท่วมไปด้วยเพลิงยังคงร่วงลงมาจากท้องฟ้าต้นไม้ลุกเป็นไฟลามไปทั่วทุกทิศทาง
ฟางเจิ้งจือมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
”เหยียนเอ๋อร์ปิงหยาง ชิงวู จวี้เอ๋อและเหยียนซิว รอข้าตรงนี้!” ฟางเจิ้งจือบินขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งตรงเข้าหาฝนอุกาบาต
ตู้ม!
อย่างไรก็ตามเศษหินไม่ตกลงมาฟางเจิ้งจือชี้นิ้วไปข้างหน้า เขาใช้วิชาบางอย่างทำให้เหล่าอุกาบาตพวกนั้นกลายเป็นผุยผงและลอยกลับไปนอกอวกาศ
ฟู่!
ฟุ่บ!
เศษฝุ่นลอยคลุ้งในอากาศ
ฉือกูเหยียนปิงหยางและคนอื่นๆจ้องมองไปที่ยังท้องฟ้า
พวกเขามองไม่เห็นฟางเจิ้งจืออีกต่อไปแต่สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่ปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
พลังที่ลึกลับรุนแรงจนบนพื้นดินนั้นสามารถสัมผัสได้
อย่างไรก็ตามพื้นดินกลับไม่แตกออก
พลังนั้นให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวกับมันทำให้โลกสงบสุข
น่าแปลกใจที่ยังคงได้ยินเสียงดังจากท้องฟ้า
ฟางเจิ้งจือทำลายอุกาบาตขนาดใหญ่
ในระหว่างเดียวกันก็ค่อยๆฟื้นฟูสภาพพื้นโลกรวมถึงเรกิสภาพแรงโน้มถ่วงของโลก
ฟางเจิ้งจือกำลังสร้างสารอาหารให้กับโลกใบนี้
เวลาค่อยๆผ่านพ้นไป
สองชั่วโมงสี่ชั่วโมง หกชั่วโมง …
เสียงระเบิดดังบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ฉือกูเหยียนปิงหยาง เหยียนซิว หยุนชิงวูและคนที่เหลือไม่ได้จากไปไหน
เทพอสูรและเทพปีศาจเองก็ยังคงอยู่
ทุกคนต่างรอผลลัพธ์สุดท้ายของภัยพิบัติจักรวาลในครั้งนี้เหงื่อไหลออกมาจากทั่วใบหน้าและแผ่นหลังของพวกเขาอย่างกังวล
…
”…”
หนึ่งวันผ่านไป
สองวันผ่านไป
สามวันผ่านไป
… เจ็ดวันผ่านพ้นไปในพริบตา
พื้นดินบนภูเขาฉางหยางที่ลุกไหม้ค่อยๆมอดดับฝุ่นบนท้องฟ้าค่อยๆจางหาย
นั้นเพราะฟางเจิ้งจือบินสูงขึ้นเรื่อยๆในขณะที่รับมือกับภัยพิบัติจักรวาล
”พี่เหยียน…คิดว่าเขาจะกลับมาไหม?”ปิงหยางยืนบนก้อนหินขนาดใหญ่และมองดูท้องฟ้าขณะเอ่ยถามฉือกูเหยียน
”แน่นอน”ฉือกูเหยียนตอบอย่างมั่นใจ
”แต่ผ่านไปเจ็ดวันแล้วไม่ได้กินอะไรเลย? เขาจะมีแรงเหลืออยู่งั้นหรือ? อาจจะเหนื่อยล้า พวกเราควรไปช่วย…”
”ปิงหยางเจ้าไม่เชื่อในตัวเขาหรือ?”
”ข้า…ข้าเชื่อ!” ปิงหยางพยักหน้าด้วยความแน่วแน่
เหยียนซิวและหนานกงมู่ยืนอยู่บนก้อนหินด้านข้างพวกเขายืนรอเช่นนี้มาเป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว
มองดูท้องฟ้าด้วยความเงียบตลอดมา เทพอสูรและเทพปีศาจไปพักอยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากที่นี่อย่างไรก็ตามไม่มีใครจากไป ทุกคนยังคงรออย่างอดทน
ไม่มีการต่อสู้
โลกกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
”ชิงวูอยากกินอะไรไหม” ท่าทีของจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือเต็มไปด้วยความรักของแม่ที่มีให้ลูก นางวางผลไม้ไว้ให้หยุนชิงวู
”ข้าไม่เป็นไรท่านแม่” หยุนชิงวูส่ายหัว
ตลอดเจ็ดวันหยุนชิงวูไม่ได้พักผ่อนเช่นเดียวกับฉือกูเหยียนและคนอื่นๆ นางเพียงแค่ยืนมองอยู่เงียบๆและไม่จากไปไหน แม้ว่าไป่ฉือจะโน้มน้าวแค่ไหนก็ตาม
ขณะนั้นเองชายชราในชุดคลุมสีทองก็ยื่นขึ้นและยื่นมือไปด้านหน้า
”ถ้านางไม่เอาทำไมไม่ให้ข้าล่ะ” ชายชราเลียริมฝีปากเล็กน้อย
”…”จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือพูดไม่ออกแต่ยังคงส่งผลไม้ไปให้ อย่างไรก็ตามนางพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ “ยังไงท่านก็เป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของยุคโบราณ ซวนหยวนห้า ไม่คิดถึงศักดิ์ศรีสักหน่อยหรือ?”
”ศักดิ์ศรี?ข้าได้รับบาดเจ็บและเกือบตายในมือของฉือโหย่ว ตอนนั้นพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหน ยังกล้ามาพูดถึงศักดิ์ศรีกับข้าอีกหรือ?”
”ฮ่าฮ่าฮ่า”จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือไม่ได้โต้เถียงกับซวนหยวนห้าอีกต่อไป
ซวนหยวนห้าไม่ได้มีหน้าตาหล่าเหลาแม้แต่น้อยหลังจากที่อยู่ในร่างมนุษย์
เขาน่าเกลียดมาก!
อย่างไรก็ตามซวนหยวนห้าไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นหลังจากพูดคุยกับไป่ฉือสักพักก็หันมองหนานกงมู่ที่อยู่ห่างออกไป
”นี่เจ้าเด็กสายเลือดจักรพรรดิหยาน ข้าเคยช่วยเจ้าเอาไว้ ไม่คิดจะแบ่งผลไม้เทพเจ้าให้ข้าสักหน่อยหรือ?” ซวนหยวนห้ายืดคอและพูดขึ้น ”…”หนานกงมู่มองไปทีซวนหยวนห้า
จากนั้น…
เขาหันกลับไปอย่างไม่สนใจ
ใบหน้าของซวนหยวนห้าบึ้งตึงทันทีเขารู้ดีว่าทุกคนกำลังรอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ซวนหยวนห้าติดอยู่ในจักรวาลหลายพันปีและโชคดีรอดตายจากฉือโหย่ว ตอนนี้ฉือโหย่วตายไปแล้ว เขาแค่อยากคุยกับใครสักคน
ซวนหยวนห้ากำลังหงุดหงิด!
”นี่หยุนชิงวู ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นลูกผสมระหว่างอสูรและปีศาจหรอกหรือ? แม่เจ้าคืออสูร …ที่จริงแล้วนางคือจักรพรรดินีอสูร ในขณะที่พ่อของเจ้าคือจักรพรรดิปีศาจ …แต่ทำไมข้าไม่เห็นพ่อของเจ้าล่ะ? ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ค่อยดีงั้นหรือ? ทะเลาะกัน? ทำไมไม่เล่าให้ข้าฟังสักหน่อยล่ะ” ซวนหยวนห้าหาที่นั่งลงและเงยหน้าขึ้นขณะรอฟังหยุนชิงวูเล่า
อย่างไรก็ตามดวงตาของเขาเบิกกว้างทันทีที่นั่งลงและเงยหน้าขึ้น
”หืม?ดาว …กำลังตก?”