Gate of God - ตอนที่ 1152 การผจญภัยครั้งใหม่ (END)
ตอนที่ 1152 การผจญภัยครั้งใหม่ (END)
”ดวงดาว?!”
ทุกคนตัวแข็งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง
ดาวดวงหนึ่งกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าแม้จะเป็นตอนกลางวันแต่มันยังคงส่องสว่างเป็นประกายราวกับดาวตก…
”เขากลับมาแล้ว!”
”กลับมาแล้วจริงๆเหรอ?!”
”ฟางเจิ้งจือสามารถหยุดยั้งภัยพิบัติจักรวาลได้ด้วยตัวคนเดียวและกลับมาได้อย่างปลอดภัย?!”
พวกเขาทั้งตกใจและตื่นเต้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นความจริงฟางเจิ้งจือพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับดาวตก ในที่สุดเขาก็ร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวลตรงหน้าฉือกูเหยียน หยุนชิงวูและคนอื่นๆ
”พวกเจ้ารอให้ข้ากลับมากินข้าวด้วยงั้นหรือ?”ฟางเจิ้งจือยิ้มอย่างสดใสและปัดฝุ่นบนเสื้อออก
”…”
บรรยากาศรอบๆตกอยู่ในความเงียบชั่นขณะ
จากนั้นเสียงร้องดีใจก็ดังสนั่น
ฟางเจิ้งจือมองไปรอบๆในขณะที่ทุกคนส่งเสียงให้กับตัวเขาในที่สุดก็มองไปที่ซวนหยวนห้าที่นั่งอยู่ไม่ไกล “หืม? เจ้าขี้เหร่นั่นใครกัน? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
”เจ้าเด็กเวรข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
”…”
…
…
หนึ่งเดือนต่อมา
โคมไฟแขวนอยู่ทั่วหมู่บ้านภูเขาทางเหนือทุกมุมถูกตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดงหรู บริเวณบ้านครอบครัวฟางถูกปรับแต่งใหม่กลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ ประตูสีแดงฝังด้วยทองคำและหยกสิงโตสองตัวถูกแกะสลักขึ้นจากหยกสีดำตั้งขนาบข้างประตูบานใหญ่
มันเป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่เทียบเท่าได้กับวังหลวงของอาณาจักรเซี่ย
ฉินซูเหลียนและฟางเฮ่าเตอรู้สึกกังวลเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นจักรพรรดิองค์ใหม่หลินหยุนยิ้มแย้มสดใสพวกเขาก็โล่งใจ
”เจ้าเด็กนั่นมีชื่อเสียงมากเลยงั้นหรือ?”ซวนหยวนห้าจ้องมองประตูของคฤหาสน์ซึ่งสูงกว่าประตูวังเสียอีก เขารู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย
”ท่านอยากให้ข้าทำตัวติดดินหรือไง?มันเป็นไปไม่ได้ หลินหยุนไม่ได้บอกว่าจะส่งไข่มุกสามพันเม็ดให้ข้าในคืนนี้หรอกหรือ? ทำไมพวกเขายังไม่มาอีก? พวกเขาคิดจะกลับคำพูดหรือไว?” ฟางเจิ้งจือกัดริมฝีปากก่อนจะพุ่งไปยังสถานที่พำนักของหลินหยุนเพื่อถามเรื่องนี้ ”ติด..ดิน?!” ซวนหยวนห้าส่ายหัว และเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก “เจ้าคิดจะแบ่งไข่มุกให้ข้าสักสามร้อยเม็ดไหม?”
”ฮึ่ม!”
”…”
ฟางเจิ้งจือยกนิ้วกลางให้ซวนหยวนห้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามในขณะที่มุ่งหน้าไปยังที่พำนักของหลินหยุนพวกเขาก็เห็นคนสองคนยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า
ผู้หญิงและผู้ชาย
ทั้งสองดูนิ่งสงบ
อย่างไรก็ตามทั้งสองยืนจับมือกันและยืนนิ่งราวกับรอใครบางคน
นั่นคือเหยียนซิวและฉิงยี่
”…”ท่าทีของฟางเจิ้งจือเปลี่ยนไปเล็กน้อยและมองไปที่คนทั้งสองก่อนจะกระแอ่มเบาๆ เหยียนซิวและฉิงยี่หันมองในเวลาเดียวกัน
การแสดงออกของฉิงยี่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกับดึงมือออกโดยสัญชาตญาณ
อย่างไรก็ตามแทนที่จะปล่อยมือของนางเหยียนซิวกลับดึงตัวฉิงยี่เข้ามาในอ้อมแขนและเดินไปหาฟางเจิ้งจือ
”ข้าต้องกลับไปยังดินแดนเหลียงตะวันตกในอีกสองวัน”เหยียนซิวกล่าว
”เรื่องเร่งด่วนหรือ?”
”ใช่ข้าแจ้งเตือนให้พวกเขาเตรียมพร้อมแล้ว”
”เรื่องอะไร?”
”ข้าเคยมอบม้าศึกจากดินแดนเหลียงตะวันตกหมื่นตัวให้เป็นของขวัญแต่งงานในเมื่อเจ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ทำไมไม่คืนมันให้ข้าล่ะ?” เหยียนซิวยิ้มและกล่าวออกมา
”หมายความว่าข้าต้องคืนม้านับหมื่นให้เจ้าหลังจากที่พวกมันมานอนเล่นอยู่ในบ้านข้ากว่าครึ่งเดือนงั้นหรือ?นอกจากนี้ ข้าต้องมอบของขวัญอวยพรงานแต่งงานเจ้าเป็นดาบระดับเซียน? โอ้ จริงสิ ข้าต้องเรียกนางว่าน้องสะใภ้แล้ว พูดตามตรงข้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกเจ้าไปศึกษาดูใจกันมาตอนไหน?” ฟางเจิ้งจือดแปลกใจไม่ได้
”ข้าแก่กว่าเจ้าเจ้าต้องเรียกฉิงยี่ว่า พี่หญิง” เหยียนซิวแก้ไข
”…”
”…”
ขณะที่ฟางเจิ้งจือเงียบเสียงไปนั้นเสียงควบม้าได้ดังขึ้นจากด้านนอกหมู่บ้าน
จากนั้นกลุ่มคนในชุดสีแดงสดได้วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านไม่นานทั้งหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยความครื้นเครง
”งานรื่นเริงงานรื่นเริง!”
”มาดูเจ้าสาวเร็วเข้า!”
”ฮ่าฮ่าฮ่าเจิ้งจือช่างเป็นชายที่โชคดีอะไรเช่นนี้”
ชาวบ้านรีบออกมาใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส
”โชคดี?พวกนั้นใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายๆ..” ฟางเจิ้งจือมองคนที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านก่อนจะทำสีหน้าขมขื่นขึ้นเรื่อยๆ
คนแรกที่เข้ามาคือกลุ่มกองตรวจการศักด์สิทธิ์แห่งเดือนเหนือที่บัญชาการโดยแม่ทัพฉือใบหน้าของเขาเบิกบานไปด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น….
กองทัพและอดีตจักรพรรดิของอาณาจักรเซี่ยหลินมู่ไป่
นิกายเงา
กองทัพดินแดนภูเขาทางใต้
และสุดท้าย…แน่นอนว่ามันดูบ้าบอมากที่สุด
สัตว์อสูรเก้าตนที่มีสีต่างกันที่โบยบินบนท้องฟ้าพร้อมกับรถม้าสีทองขนาดใหญ่ ร่างมหึมาจำนวนมากคอยติดตามอยู่ด้านหลัง
จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือสวมชุดขนสัตว์สีขาวราวกับหิมะขับให้ส่วนเว้าโค้งของนางโดดเด่นมากยิ่งขึ้นนางยืนอยู่บนหลังของเทพอสูรตนหนึ่งก่อนจะมองไปรอบๆและหยุดอยู่ที่ฟางเจิ้งจือ
”ฟางเจิ้งจือข้ามีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว ประตูแรกที่เจ้าจะก้าวเข้าไปคือประตูห้องของหยุนชิงวู!” จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือกล่าวด้วยสีหน้าที่เย็นชา
”ทำไมเขาต้องเลือกลูกสาวของเจ้า?คิดว่าหอคอยหลิงหยุนมีไว้ประดับเฉยๆงั้นหรือ?” เฉียนยู่ตอบด้วยความไม่พอใจโดยที่ฟางเจิ้งจือไม่ทันได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย
”เจ้าเอาชนะข้าได้งั้นหรือ?”จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือตอบด้วยท่าทีสบายๆ
”แน่นอน”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากรถม้าด้านหน้า แม้จะไม่ใช่เสียงที่ดังมากแต่ก็เพียงพอจะทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบลง นั่นคือฉือกูเหยียน
นางไม่ได้เดินออกมาจากรถม้าอย่างไรก็ตามนางปิดปากทุกคนได้เพียงด้วยประโยคเดียว
แม่ทัพฉือจากแดนเหนือชะโงกหน้าออกมาและมองไปโดยรอบพลางคิดว่า’พวกเจ้าคิดว่าตัวเองดีเด่นมาจากไหน? องค์หญิงแห่งอาณาจักรเซี่ย? นายน้อยของเผ่าปีศาจ? ผู้นำนิกายเงา? หรือราชินีแดนใต้? แล้วยังไง? ตราบใดที่ข้ามีฉือกูเหยียนอยู่ พวกเจ้าก็ทำได้แค่ต่อหลังข้า!’
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดออกไป
ทั่วบริเวณปกคลุมไปด้วยความเงียบ
มันน่าอึดอัดเล็กน้อย
ท่าทีของฟางเจิ้งจือกลายเป็นขมขื่นยิ่งกว่าเดิมมันเป็นเรื่องยากที่ต้องแต่งงานกับหญิงสาวห้าคนในคราวเดียวกัน
ต้องแต่งงานกับฉือกูเหยียน
ปิงหยางเองก็ต้องการแต่งงานกับเขา ในทางกลับกันวู่จวี้เอ๋อคงร้องไห้เสียใจไม่หยุดแน่ถ้าไม่ได้แต่งงานกับเขา
ส่วนหยุนชิงวูและฉานยู่เป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาด
การแต่งงานกับหยุนชิงวูนั้นสมเหตุสมผลเพื่อความสงบสุขของโลกจึงต้องคำนึงถึงการมีอยู่ของเผ่าอสูรและปีศาจด้วย ฟางเจิ้งจือจึงไม่รังเกียจ
ส่วนฉานยู่…
ขณะที่พวกเขาต่อสู้บนภูเขาฉางหยางฉานยู่อยู่ที่หมู่บ้านภูเขาทางเหนือและปฏิบัติต่อฉินซูเหลียนเป็นอย่างดีจนนางเรียกฉานยู่ว่าลูกสะใภ้
ในตอนที่กลับมายังหมู่บ้านภูเขาทางเหนือ…
เรื่องนี้ก็อยู่เหนือการควบคุมไปแล้ว
”ห้าคน…”
’มันจะไม่มากเกินไปหน่อยใช่ไหม?’
ฟางเจิ้งจืออดคิดถึงโลกก่อหน้าที่มีทุกอย่างพร้อมไม่ได้แม้สถานที่แห่งนี้จะหรูหรามากแค่ไหนแต่ก็ไม่เติมเต็มความว่างเปล่าในใจเขาได้ทั้งหมด
…
ยามค่ำคืนแสงไฟสว่างไปทั่วหมู่บ้าน
ในที่สุดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ได้เริ่มขึ้น
ฉินซูเหลียนและฟางเฮ่าเตอนั่งอยู่บนตำแหน่งที่มีเกียรติสีหน้าของทั้งสองเบิกบานและไม่สามารถหยุดยิ้มได้ขณะที่มองไปยังสะใภ้ทั้งห้าคน
”เหยียนเอ๋อหยางเอ๋อร์ ยู่เอ๋อร์ ชิงวูและจวี้เอ๋อร์ ลุกขึ้นเถอะ”
”ใช่แล้วพวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฟางเฮ่าเตอก็ยิ้มเช่นกัน
”ขอบคุณท่านพ่อ ท่านแม่!” หญิงสาวทั้งห้าคนยืนขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็หันมองฟางเจิ้งจือและพูดว่า “สามีของข้า!”
”ภรรยาของข้า…”ฟางเจิ้งจือโค้งคำนับ
ดนตรีเริ่มบรรเลง พิธีเป็นไปด้วยความราบรื่น
งานแต่งงานนี้กินเวลายาวนานมีแขกจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมยินดีกับครอบครัวฟาง ในงานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงกลางดึก
ฟางเจิ้งจือกำลังทำการตัดสินใจสิ่งที่ยากลำบากมากที่สุด
ฟางเจิ้งจือยู่บนถนนที่ตัดแยกออกเป็นห้าเส้นทางในหัวเต็มไปด้วยความลังเลและรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าได้ต่อสู้กับฉือโหย่ว
การต่อสู้กับฉือโหย่วทำให้เจ็บปวดได้ชั่วคราว
อย่างไรก็ตามหากเลือกผิดพลาดในคืนนี้ฟางเจิ้งจือรู้ดีว่าจะต้องทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต
”เหยียนเอ๋อร์ยอดเยี่ยมชิงวูทำงานเป็นเลิศ ปิงหยาง… นางคงไม่เป็นไร จวี้เอ๋อรู้วิธีทำให้ข้าพอใจ ฉานยู่ …เลือนร่างของนางสมบูรณ์แบบมาก แล้วข้าควรเลือกใคร?” สับสน!
มีแต่ความสับสนลังเล!
”…”
หลังจากความขัดแย้งในหัวตีกันมากว่าสิบห้านาที…
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า…ความจริงแล้วเขาไม่มีทางเลือก
เขากำลังหลอกตัวเองและคิดว่ามีทางเลือก
”เอาล่ะในเมื่อข้าไม่มีทางเลือกก็คงไม่ต้องคิดให้เหนื่อยต่อไป”ฟางเจิ้งจือเดินไปตามทางเรื่อยๆ ไม่ช้าก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง
เทียนสีแดงส่องสว่างภายในห้องนั้น
แสงจันทร์ที่ส่องกระทบกับแสงเทียนทำให้รู้สึกรื่นรมย์ไม่น้อย
”เหยียนเอ๋อร์ข้า…” ฟางเจิ้งจือเปิดประตูอย่างนุ่มนวลและเดินเข้าไปในห้อง อย่างไรก็ตามดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่จะพูดจบประโยค นั่นเพราะมีคนห้าคนอยู่ในห้องของฉือกูเหยียน
บนหัวของพวกนางคลุมด้วยผ้าสีแดง
”ข้าว่าแล้วพี่เหยียนเก่งที่สุด พี่รู้อย่างง่ายดายเลยว่าเจ้าไร้ยางอายจะมาที่ห้องพี่” ปิงหยางพูด
”ใช่แล้วพี่เหยียนเยี่ยมมาก!” วู่จวี้เอ๋อพยักหน้า
”ใช่แล้วพี่เหยียนควรเป็นผู้นำของเรา!” ฉานยู่เองก็ร่วมด้วย
หยุนชิงวูไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่หยักหน้าตอบรับและนั่งอย่างเงียบเชียบ
”เขาไม่กล้าไปที่อื่นหรอก!”ฉือกูเหยียนยกผ้าคลุมออกและจ้องมองฟางเจิ้งจือด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
”ฮ่าฮ่า…” ฟางเจิ้งจือยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์และพูดต่อ “พวกเจ้าทั้งห้าคนจะ …จะทำมัน …พร้อมกันเหรอ?”
”ทำไม?เจ้าทำไม่ได้เหรอ?” ”ได้ข้าทำได้!”
”งั้นมัวรออะไรอยู่อีก?”
”ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้ามาแล้ว!” ฟางเจิ้งจือดีใจมากราวกับความสับสนลังเลก่อนหน้านี้ทั้งหมดได้หายไป
ตราบใดที่มีฉือกูเหยียนอยู่นางจะจัดการทุกอย่างให้เอง
”ก๊อกก๊อก!” ขณะที่ฟางเจิ้งจือกำลังพุ่งหาพวกนาง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นรัวๆราวกับมีเรื่องเร่งด่วน ประตูแทบจะพังออกมา
”ใครกัน?!”ฟางเจิ้งจือโกรธมาก
จะรบกวนพวกเราก็ไม่เป็นไร!
แต่เจ้าจะพังประตูบ้านข้าไม่ได้!
”นายท่านพวกเราเจอปัญหาใหญ่! มีผู้บุกรุกและพวกเราไม่สารถหยุดยั้งเขาได้!” เห็นได้ชัดว่านั่นคือทหารของกองตรวจการศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของงานแต่ง
”หยุดไม่ได้เหรอ?ใครมันกล้าบุกเข้ามาในคฤหาสน์ของข้า?” ฟางเจิ้งจือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ในตอนนี้มีเหล่าเทพอสูรและเทพปีศาจนับร้อยตนอยู่ในคฤหาสน์ของเขาทั้งเฉียนยู่และจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือก็ยังไม่ได้ออกเดินทางกลับไป
ใครกันที่สามารถบุกเข้ามาในคฤหาสน์ได้!
”ใช่แล้วชายคนนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมาก สามารถหยุดท่านเฉียนยู่และท่านจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือได้เพียงยกมือขึ้น พวกเขา …”
”อะไรกัน?เจ้านั่นยังอยากมีชีวิตอยู่อีกไหม?” แม้ฟางเจิ้งจือจะโกรธแต่ก็ไม่ได้ดูถูกชายคนนั้น
”แม้แต่จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือกูไม่สามารถหยุดได้…”
”เป็นใครกัน?”
ตู้ม!ขณะนั้นเองเสียงดังขึ้นจากนอกห้อง
ฟางเจิ้งจือไม่ลังเลอีกต่อไป ”พวกเจ้ารอข้าที่นี่ข้าขอเวลาไม่นานแล้วจะกลับมาทันที” ฟางเจิ้งจือเปิดประตูและออกจากห้องไป
”หนึ่งวินาทีในคืนแต่งงานของข้ามีค่ามาก”
”เจ้ากล้าดียังไง..”
”ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
ทันทีที่ฟางเจิ้งจือเดินออกมาก็เห็นชายคนหนึ่งในชุดสีฟ้ายืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์เขาเป็นคนที่มีรูปร่างผอมสูง
ชายหนุ่มที่มีอายุประมาณยี่สิบริมฝีปากกำลังโค้งงอเป็นรอยยิ้มจางๆ
”ข้าคำนวณเวลาไว้ตรงกับช่วงที่เจ้ากำลังจะดื่มด่ำความสุขในค่ำคืนนี้เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
”น่าสนใจๆ”ฟางเจิ้งจือยิ้มเช่นกัน ‘สารเลว ดูก็รู้ว่าเจ้าจะมาหาเรื่อง’
”เจ้าโกรธอยู่งั้นหรือ?”
”ใช่”ฟางเจิ้งจือกำหมัดแน่น ”เจ้าอยากจะต่อสู้ไหม?”ชายหนุ่มพยักหน้าราวกับไม่สนใจความโกรธของฟางเจิ้งจือ
”แน่นอนแต่ข้าไม่ต้องการทำลายต้นไม้ในคฤหาสน์ เจ้าบินบนฟ้าได้ไหม?” นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งจือพบเจอคนที่อวดดีเช่นนี้
”ท้องฟ้า?แน่นอน นั่นคือสถานที่ที่ข้าอยู่” ชายหนุ่มพยักหน้าและพึมพำเล็กน้อย “เมื่อไหร่ดวงจันทร์จะลอยขึ้นฟ้า? ข้าจะอวยพรต่อสวรรค์และเอ่ยถามว่าวันใดราชวังจะลอยเหนือท้องฟ้า บทกวีของซู่ฉี(苏轼)ในสมัยซ่ง โอ้ใช่แล้วกวีนี้เคยถูกทำเป็นเพลงด้วยนะ เจ้าชอบหวังเฟยไหม?”
”…”ฟางเจิ้งจือตัวแข็งค้างไปในทันที
’ราชวงศ์ซ่งซู่ฉี!’
’หวังเฟย!’
’มันเป็นชื่อที่คุ้นเคยมาก!’
นี่คือครั้งที่สองที่ฟางเจิ้งจือได้ยินเรื่องแบบนี้ครั้งแรกคือตอนที่เจอซวนหนี่แห่งสวรรค์ทั้งเก้า จากที่คุยกันตอนนั้นเขายังไม่ได้รับคำตอบ
”เจ้าเป็นใครกัน?”
”ข้าชื่อหลินยี่”ชายหนุ่มไม่ได้โกหก
”เจ้า…”
”เจ้าเลิกเดาได้แล้วข้ามาจากที่เดียวกันกับเจ้าและข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าข้าเป็นคนที่สร้างโลกใบนี้”
”เจ้าสร้างมันขึ้นมา?”ฟางเจิ้งจือไม่เคยคิดจะเชื่อเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขาเชื่อ
’มาจากที่เดียวกัน’
’สร้างโลกใบนี้!’
’นั่นคือเหตุผลที่ตำนานเรื่องเล่าในโลกนี้คล้ายกับโลกเก่าที่เขาจากมา’
’อย่างไรก็ตามทั้งหมดถูกรวมเป็นหนึ่งเดียว’
’กฎแห่งเต๋า!’
”เจ้าอยากติดตามข้าสร้างโลกที่อยู่เหนือกฎแห่งเต๋าและมีชีวิตนิรันดร์ไหม?” หลินยี่นั่งลงและสร้างโต๊ะหินพร้อมกับถ้วยสองใบพร้อมกับเหยือกหยกสีขาวที่เต็มไปด้วยเหล้า ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่เขาโบกมือเพียงครั้งเดียว
”ข้าสามารถเป็นอมตะได้เพียงแค่สร้างโลกงั้นเหรอ?”ดวงตาของฟางเจิ้งจือเบิกกว้างจากนั้นก็นั่งลงและยกถ้วยหนึ่งขึ้นมา
หลินยี่ไม่ได้หยุดฟางเจิ้งจือ
หลังจากที่ดื่มเสร็จหลินยี่ก็เติมให้อีก
”แต่ข้าไม่อยากเป็นเหมือนเจ้า”หลังจากดื่มเสร็จฟางเจิ้งจือก็หยุดชั่วคราวและส่ายหัว
”โอ้เจ้าไม่อยากมีชีวิตอมตะงั้นหรือ? ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้การสร้างโลกไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจแก่นแท้การก่อตัวขึ้นของโลกและมีพลังในการสรรค์สร้าง ภายในเวลาสิบล้านปีเจ้าสามารถมีโลกเป็นของตัวเองได้อย่างแน่นอน” หลินยี่ประหลาดใจเล็กน้อย
”มันลำบากเกินไป”ฟางเจิ้งจือส่ายหัวอีกครั้ง
”ลำบาก?”
”ใช่เจ้าไม่คิดว่ามันลำบากงั้นเหรอ? กว่าหินจะกลายเป็นภูเขา กว่าต้นไม้จะกลายเป็นป่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ทำไมข้าต้องเสียเวลาไปกับสิ่งที่น่าเบื่อและเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นข้าอาจจะพบกับจุดจบเดียวกับเจ้า โลกที่ไม่สมบูรณ์ ทุกอย่างที่ทำมาอาจกลายเป็นศูนย์เปล่า”
”ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีอย่างไรก็ตามเจ้าไม่สามารถอยู่ไปตลอดได้ ถ้าไม่มีโลกที่เป็นของตัวเอง”
”อืม…ถ้าไม่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่”
”โอ้?เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” หลินยี่ไม่แปลกใจที่ได้ยินสิ่งที่ฟางเจิ้งจือกำลังพูด แต่กำลังมองฟางเจิ้งจือด้วยรอยยิ้มและความสนใจ
”งั้นข้าก็แค่ปล้นใครสักคนมาก”คำตอบของฟางเจิ้งจือนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ”ฮ่าฮ่าฮ่า…”
หลินยี่หัวเราะจากนั้นก็คว้าถ้วยตรงหน้าแล้วทำให้ถ้วยว่างเปล่าก่อนจะถามขึ้น “โลกไหนเล่า?”
”มีตัวเลือกอื่นงั้นรึ?”
”การปล้นโลกไม่ใช่เรื่องง่าย”
”มันยากแค่ไหน?”
”ข้าจะบอกให้ว่าข้าเองก็เคยคิดแบบเดียวกันมาก่อนแต่ไท่ไป๋ไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะพูดคำเดิมตลอดว่า ‘ทำไมเราต้องทรมานกันด้วยทั้งๆที่พวกเรานั้นมาจากที่เดียวกัน’ จากนั้นข้าก็เคยลองครั้งหนึ่งแล้วมันก็จบลงที่… เอ่อนั่นคือเรื่องราวคร่าวๆที่เกิดขึ้น” หลินยี่ยิ้มและไม่ได้เล่าเรื่องต่อ
”ไท่ไป๋คือใคร?”
”ผู้อาวุโสคนหนคาง”หลินยี่อธิบาย
”โอ้จะเป็นยังไงถ้าเราสองคนร่วมมือกัน” ฟางเจิ้งจือไม่ได้ถามอะไรอื่นอีก
”ฮ่าฮ่า…” หลินยี่ถูมือทั้งสองข้างพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย “เราต้องเตรียมตัวให้ดี เจ้ามีแผนเมื่อไหร่? ข้าสามารถชี้นำเจ้าได้ ความจริงแล้วพวกเราสามารถทำได้เลยในตอนนี้เพราะข้าได้เตรียมการสิ่งที่จำเป็นไว้แล้วก่อนจะมาที่นี่”
”วันที่10 กรกฎาคม”
”ทำไมต้องเป็นวันที่10 กรกฎาคม?”
”เพราะวันนั้นอากาศดี”ฟางเจิ้งจือไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เขาเพียงแต่หันมองดวงจันทร์ที่ส่องประกายบนท้องฟ้าและพูดขึ้น “โลกงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า …ข้ามาแล้ว!”
*ซู่ฉีปราชญ์ในสมัยราชวงศ์ซ่ง
**หวังเฟยคือนักร้องที่มีชื่อเสียง