เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 5 ตอนที่ 135 ฉันจะทำคดีอย่างยุติธรรม!
เมื่อผ่านวันปีใหม่ไป ได้เปลี่ยนแปลงจากปี 83 เป็น ปี 84 ภายในเวลาไม่กี่เดือนวิธีการสื่อสารภายในประเทศยังไม่มีการพัฒนามากเท่าไรนัก ไม่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่สามารถเห็นได้ทุกหนแห่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโทรศัพท์มือถือ โดยทั่วไปการส่งข่าวสารยังอาศัยกำลังคนเป็นหลัก เหตุการณ์ตั้งแต่ทะเลาะวิวาทกันจนคนจำนวนหนึ่งถูกพากลับสถานีตำรวจ เป็นเวลาราวสองชั่วโมงกว่าเลขาโหวจะได้รับข่าวคราว—ฟ้าถล่มคงจะประมาณนี้ หัวหน้ามอบคนให้เขาดูแล วันแรกก็เกิดเรื่องในซางตูเสียแล้ว
เลขาโหวรู้จักเส้ากวงหรงดี เขาไม่ถือว่าตนเองเป็นยอดชายหนุ่มผู้พรั่งพร้อมด้วยห้าเน้นสี่งาม [1] แต่เขาก็ไม่ใช่คุณชายเจ้าสำราญที่จองหองบ้าอำนาจ เวลานี้เหล่าลูกหลานของข้าราชการค่อนข้างสมถะเป็นปกติ ไม่มีทางตะโกนเสียงดังก่อนทะเลาะวิวาทว่า ‘พ่อฉันคือ XX’ เส้ากวงหรงขยันเปลี่ยนแฟนสาว แต่มิใช่คนแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ต่อให้เส้ากวงหรงเป็นคนก่อเรื่อง เลขาโหวก็ไม่สามารถเห็นแก่เหตุผลอย่างเดียวโดยไม่ช่วยเหลือได้
คนขับรถคือทหารปลดประจำการ และเป็นผู้ช่วยคนสนิทที่ติดตามหัวหน้ามาหลายปี เลขาโหวไม่กลัวว่าเส้ากวงหรงจะเสียเปรียบขณะวิวาท แต่เขาเกรงว่าพอทุกคนถูกพากลับไปยังสถานีตำรวจ เส้ากวงหรงกับคังเหว่ยจะเจอปัญหา
เวลานี้เจ้านายกำลังประชุมอยู่ เลขาโหวบอกตนเองว่าต้องทำใจให้สงบไว้ พลางกักตัวคนส่งสารแล้วบึ่งไปยังสถานีตำรวจ
สถานีตำรวจไม่อนุญาตให้คนขับรถใช้โทรศัพท์ติดต่อคนอื่น คนขับรถจึงจ้างคนส่งสารด้านหน้าประตู เขาบอกให้ไปสถานที่ใดที่หนึ่งตามหาเลขาแซ่โหว จากนั้นนำเงินมอบให้คนคนนั้น ด้านสถานีตำรวจมีท่าทางเกรงใจเขามาโดยตลอด ก็เพราะคนขับรถขับรถยนต์ที่มีทะเบียนของเซี่ยงไฮ้นั่นเอง
ยุคนี้คนธรรมดามีปัญญาขับรถเก๋งหรือ?
รถยนต์ล้วนถูกจัดสรรให้ใช้สำหรับหน่วยงาน ไม่ใช่ผู้บริหารย่อมไม่ได้ขับ
ในซางตูคนทำธุรกิจอิสระยังไม่นิยมซื้อรถยนต์นัก ทว่าเถ้าแก่กระเป๋าเงินหนักในเมืองติดชายฝั่งทะเลมีรถส่วนตัวกันแล้ว
ก่อนที่เลขาโหวจะไปสถานีตำรวจได้ติดต่อถึงผู้บังคับบัญชาของสถานี มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว หากไปถึงสถานีตำรวจบอกว่าตนคือเลขาของใคร ตำรวจชั้นผู้น้อยจะรู้จักหรือ? คุยโวโอ้อวดไม่สำเร็จแถมยังอาจโดนหักหน้ากลับมา เลขาโหวไม่มีทางทำความผิดพลาดระดับล่างแบบนี้เด็ดขาด
ในขณะเดียวกัน บ้านจูก็ได้รับข่าวนี้แล้วเช่นกัน
คนของเซี่ยเสี่ยวหลานทำร้ายร่างกายกลุ่มแนวร่วมป้องกันจนเข้าโรงพยาบาล
ติงอ้ายเจินไม่อยากจะเชื่อ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าช่างงี่เง่าน่าขบขันนัก
“เป็นคนชนบทต่ำต้อยอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย”
จากนี้ไปเธอไม่ต้องสนใจอีกแล้ว สมาชิกแนวร่วมป้องกันพวกนั้นจะไม่ปากเปราะ ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานอาจถูกพิพากษาจำคุก เดิมต้องการสร้างปัญหาให้แก่เธอ ทำให้เธออยู่ในซางตูต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าจำคุกได้สักสองสามปี ก็เป็นวิธีที่ลงแรงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ต่อให้จูฟ่างโวยวายกับครอบครัวก็ไร้ประโยชน์ โทษทัณฑ์ตามกฎหมาย เกี่ยวอะไรกับตระกูลจูกันเล่า?
ติงอ้ายเจินอดโทรศัพท์หาสามีไม่ได้ “โง่งมเสียจริง โชคดีที่ไม่ยอบรับให้เธอแต่งเข้าบ้าน”
นอกจากมีรูปลักษณ์สวยสดงดงาม ยังมีจุดเด่นอะไรอีก?
ได้ยินว่าค้าขายเก่งไม่เบา ไม่ใช่เพราะใช้ใบหน้านั่นล่อลวงผู้ชายพวกนั้นจนจ่ายเงินหรือ?
ติงอ้ายเจินอารมณ์เบิกบานยิ่งนัก เซี่ยเสี่ยวหลานหาเรื่องใส่ตนเองเข้าแล้ว หากเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เช่าหน้าร้านถนนเอ้อร์ชีเลขที่ 45 อยู่ๆ โรงงานก็คงไม่มีโควตาจัดสรรบ้านเพิ่มตั้ง 10 หลัง และเพราะโควตาที่ได้มาจากการเช่าร้านของเซี่ยเสี่ยวหลานนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ จึงได้ทำการยึดโควตาจัดสรรบ้านไว้กับตนเองเสียเลย 2 หลัง จนทำให้เกิดเรื่องน่ารำคาญของครอบครัวเจิ้งจงฝูขึ้น ติงอ้ายเจินได้ยินคำซุบซิบนินทามาบ้าง ว่ากันว่าที่ลูกชายเจิ้งจงฝูพิการก็เป็นความผิดของเธอ… เกี่ยวอะไรกับเธอกัน? ลูกชายเจิ้งจงฝูไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดการทำงานเองแท้ๆ มือถึงติดเข้าไปในเครื่องจักรแบบนั้น
อย่างไรเสียเซี่ยเสี่ยวหลานก็คือดาวเคราะห์นำพาลางร้าย
บิดาจูฟ่างรำพันกับตนเองอยู่สักพัก “จำไว้ว่าให้จูฟ่างเรียนอีกหลายๆ วันหน่อย ส่วนคุณก็อย่าทำเรื่องจนเกินสมควร ถูกขังคุกปีสองปีถือว่าให้บทเรียนแก่เธอแล้ว”
สามีภรรยาสนทนากันอย่างดิบดี
หากเซี่ยเสี่ยวหลานถูกจำคุกสักปีสองปีจริง มีคดีติดตัว การสอบมหาวิทยาลัยนั้นคือความเพ้อฝัน คนสะสวยอย่างเธอนี้ อยู่ในเรือนจำจะโดนทำลายได้เร็วยิ่งขึ้นใช่หรือไม่?
สมาชิกแนวร่วมป้องกันยืนกรานว่าไปตรวจสอบแผงลอยของเซี่ยเสี่ยวหลาน พวกเขายังมีหลักฐาน เสื้อไหมพรมสีเหลืองอ่อนหนึ่งตัว แขนเสื้อทั้งส่วนหลุดออกมาแล้ว
แถมมีเจ้าทุกข์เสียด้วย สตรีผู้มีสายตาวอกแวก
เซี่ยเสี่ยวหลานจำอีกฝ่ายได้ ลูกค้าผู้หญิงที่มาซื้อเสื้อไหมพรมตั้งแต่เช้าตรู่ สีเหลืองอ่อนไม่เหมาะกับสีผิวของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เซี่ยเสี่ยวหลานเลยแนะนำให้เธอเลือกอีกสีหนึ่ง ผลปรากฏคือลูกค้าหญิงผู้นี้กล้าหาญยิ่งนัก ซื้อเสื้อไปโดยไม่ต่อราคาด้วยซ้ำ
ตอนเช้าหลี่เฟิ่งเหมยยังกล่าวว่าเป็นนิมิตหมายอันดี วันนี้ต้องค้าขายราบรื่นแน่
ช่างเป็นนิมิตหมายอันดีเสียจริง นั่นอธิบายว่าทำไมไม่จุกจิก ความจริงแล้วคือนกต่อที่คนอื่นส่งมา!
จั๋วเว่ยผิงพินิจเสื้อไหมพรมตัวนั้นอย่างละเอียด ก็สังเกตว่าไม่ได้เสียหายตามปกติวิสัย เหมือนมีใครตัดเส้นไหมบริเวณรักแร้มากกว่า ชายเส้นด้ายที่ขาดจากกันเป็นระเบียบเรียบร้อย
“อธิบายโดยซื่อสัตย์ มันเกิดอะไรขึ้น!”
เมื่อหญิงคนนี้เห็นว่าจั๋วเว่ยผิงอายุยังน้อยก็แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“คุณตำรวจ เสื้อที่ฉันซื้อมันชำรุด ผู้หญิงคนนี้หลอกลวงเงินจากประชาชน จะปล่อยเธอไปไม่ได้นะ”
จั๋วเว่ยผิงยังคงนิ่ง แล้วสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของหญิงคนนี้ ตั้งแต่ชื่อแซ่ถึงที่อยู่ และช่องทางติดต่อกับครอบครัว พอถามจบจั๋วเว่ยผิงก็ฟาดสมุดลงบนโต๊ะ
“คุณคือญาติของกัวเฮ่า!”
กัวเฮ่าก็คือหนึ่งในสมาชิกแนวร่วมป้องกันที่สร้างความวุ่นวายแก่เซี่ยเสี่ยวหลานในคราวนี้ ญาติกัวเฮ่าเกิดอาการจิตใจไม่สงบเพราะกลัวความผิดเล็กน้อย
“อย่างไรเสียสินค้าที่ฉันซื้อมานั้นมันชำรุด หลานชายฉันทำงานกับแนวร่วมป้องกันพอดี ฉันจึงเล่าให้เขาทราบ และก็ไม่ต้องการให้คนอื่นตกหลุมพรางเหมือนกันกับฉัน ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้โหดร้ายเสียจริง ทำร้ายพวกแนวร่วมป้องกันด้วย! คุณตำรวจ คุณต้องจับกุมเธอไว้นะ!”
จั๋วเว่ยผิงคิดว่านี่คือละครตบตาฉากหนึ่งเท่านั้น
ไม่ต้องใช้ทักษะสอบสวนอาชญากรรมอะไรเลย ใช้สมองพื้นฐานครุ่นคิดดูสักหน่อยก็รู้ว่าเป็นการวางกับดักใส่ร้าย นี่คือวิธีการสร้างปัญหาของพวกอันธพาลท้องถิ่น คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกใช้กับหญิงชนบทอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานโดยกลุ่มแนวร่วมป้องกัน
ข่มเหงคนเกินไปแล้ว
จั๋วเว่ยผิงเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่าง และรู้ว่าควรจะรายงานอย่างไร
เธอกำลังจะจับหญิงคนนี้ กลับเห็นเพื่อนร่วมงานอาวุโสคนหนึ่งของสถานีตำรวจโบกมืออยู่ตรงหน้าต่าง
“เสี่ยวจั๋ว เธอมานี่หน่อย”
จั๋วเว่ยผิงตบโต๊ะอย่างแรง “คุณนั่งตรงนี้ดีๆ ล่ะ คิดให้ดีว่าจะอธิบายปัญหาของตนอย่างไร!”
ผู้หญิงคนนี้หดคอด้วยความหวาดหวั่น แต่พอเห็นคนที่อยู่นอกหน้าต่าง ก็ยืดอกขึ้นอีกครั้ง
จั๋วเว่ยผิงวิ่งออกไปแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานโพล่งโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณรู้จักติงอ้ายเจินหรือว่าจูเฉิงชุนหรือไม่? หรือจะเป็นคนอื่นๆ ในตระกูลจู… คุณรู้หรือไม่ ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นต้องนอนคุกนะ”
หญิงคนนี้ไม่สะทกสะท้าน
แต่เธอก็ไม่โง่เขลาถึงขั้นพูดว่าตนเองถูกส่งมาโดยใคร เธอจ้องเซี่ยเสี่ยวหลานพลางยิ้มแย้ม
“เธอสนใจตัวเองก่อนเถอะ มีคนยอมวิวาทเพื่อเธอ แล้วจะยอมจำคุกเพื่อเธอไหม?”
คังเหว่ยผู้หุนหันพลันแล่นลุกขึ้นด่าทอในบัดดล คนของสถานีตำรวจยั้งคังเหว่ยไว้ กระบองตำรวจกดตัวเขาไม่ให้ขยับเขยื้อน
หญิงคู่กรณีส่งเสียงไม่พอใจอย่างเอาเป็นเอาตาย
“หญิงร้ายชายเลวมีความสัมพันธ์มั่วซั่ว จับพวกเธอไว้แล้วไปนั่งในเรือนจำเสีย!”
—————————————-
“เสี่ยวจั๋ว มาทำความรู้จักกับหัวหน้ากัวของแนวร่วมป้องกันสิ”
จั๋วเว่ยผิงเพิ่งย้ายมาซางตู อายุงานน้อย ทางสถานีมีงานอะไรที่ต้องใช้ขาวิ่งล้วนตกเป็นหน้าที่ของเธอ เธอถ่อมตัวรักการเรียนรู้ เคารพต่อเพื่อนร่วมงานที่อาวุโสกว่า ทุกคนต่างเรียกเธอเสี่ยวจั๋ว บางคนถือว่าตนเองอาวุโสก็คิดว่าสามารถเป็นหัวหน้าของจั๋วเว่ยผิงได้
ความจริงแล้วทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน ตัวอย่างเช่นเพื่อนร่วมงานผู้จะทำหน้าที่คนกลางตรงหน้า
“หัวหน้ากัว?”
มีความคล้ายคลึงบางส่วนกับกัวเฮ่าที่ก่อเรื่องในครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าคือเครือญาติสายตรงของเธอ
จั๋วเว่ยผิงรู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือเกิน หัวหน้ากัวจะจับมือทักทายเธอก็ไม่ยอม เพื่อนร่วมงานดึงจั๋วเว่ยผิงไปอีกทาง
“เสี่ยวจั๋ว ความชำนาญงานของเธอยอดเยี่ยม อนาคตไกล ภายภาคหน้าไม่อาจทำงานในระดับล่างไปตลอดชาติแน่นอน เป็นคนของหน่วยรักษาความปลอดภัยสาธารณะก็ไม่ได้แปลว่าต้องเลือกที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย มีสหายรายล้อมย่อมมีหนทางมากมาย เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร ใจเธอรู้ดี ดูสิฉันพูดมากอีกแล้ว เดิมทีนี่เป็นคดีที่มีหลักฐานชัดเจน เธอเพียงรับมืออย่างยุติธรรมก็พอแล้ว”
จั๋วเว่ยผิงรู้สึกระแวงสงสัย หัวหน้าของแนวร่วมป้องกันคนหนึ่ง ข่มขู่มวลชนทั่วไปได้ ทว่าไม่น่าจะถึงขั้นสามารถข่มขวัญเพื่อนร่วมงานอาวุโสจนมีน้ำใจไมตรีขนาดนี้หรือเปล่า?
แต่ไม่ว่าใครจะยืนอยู่เบื้องหลัง ในฐานะสตรี เรื่องของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้จั๋วเว่ยผิงเกิดความรู้สึกเดียวกัน
“ฉันจะจัดการอย่างยุติธรรมแน่นอนค่ะ!”
จั๋วเว่ยผิงหันหลังกลับไปโดยไม่เกรงใจ หัวหน้ากัวสีหน้าไม่สบอารมณ์มาก
“คนหนุ่มสาวไม่มีประสบการณ์อะไรนัก ฉันว่าเปลี่ยนคนทำคดีดีกว่านะ”
เชิงอรรถ
[1] 五讲四美 ห้าเน้นสี่งาม คือ คติในการปฏิบัติตนของเยาวชนรุ่นใหม่ ประกอบด้วยสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ 5 อย่าง ได้แก่ เป็นผู้เจริญ มารยาท สะอาด ระเบียบวินัย คุณธรรม และความงาม 4 อย่าง ได้แก่ จิตวิญญาณ วาจา พฤติกรรม สภาพแวดล้อม