เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 5 ตอนที่ 130 ฉันอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 5 ตอนที่ 130 ฉันอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ
เล่มที่ 5 ตอนที่ 130 ฉันอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ
ตั๋วรถไฟหนึ่งใบ ใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมงก็เดินทางจากปักกิ่งมาถึงซางตู
ตั๋วรถไฟจากปักกิ่งถึงซางตูหาซื้อได้ค่อนข้างง่าย
เดิมทีภาระงานในหน่วยงานของคังเหว่ยก็สบายอยู่แล้ว ว่างจนไม่รู้จะว่างอย่างไร
เป็นงานที่ลุงรองของคังเหว่ยตั้งใจจัดหาให้เขา บอกว่ากลัวคังเหว่ยจะเหนื่อย งานนี้เงินเดือนไม่น้อย
งานไม่หนัก บอกกับใครก็มีหน้ามีตา แต่ที่จริงแล้วไม่มีโอกาสให้เลื่อนขั้นนัก
หากคังเหว่ยทำงานนั้นต่อไป อนาคตทั้งชีวิตโดยพื้นฐานก็คงราบเรียบไร้ความตื่นเต้น
อายุยังน้อยแต่ดันทำงานเหมือนเกษียณอายุ คังเหว่ยจะพอใจได้อย่างไร?
ทว่าคุณย่าของเขาพอใจมากทีเดียว
คุณปู่คังสามารถเปลี่ยนงานให้เขาได้ แต่ปู่คังมีหลักการแรงกล้า
จึงไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้
งานที่สบายมีข้อดีเช่นกัน คังเหว่ยแค่แขวนชื่อไว้ [1] ตัวเขาต้องการไปที่ไหนก็ไปที่นั่น พอบอกว่าจะไปสนับสนุนเซี่ยเสี่ยวหลาน
ก็ลากเส้ากวงหรงนั่งรถไฟเที่ยวซางตูทันที
ทั้งสองคนซุบซิบกันบนรถไฟ หารือกันว่าถึงซางตูแล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี
—————————————-
แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะติดต่อคังเหว่ยแล้ว
แต่ไม่ได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเขา ในเมื่อตระกูลจูรู้แล้วว่า ‘หลานเฟิ่งหวง’ คือร้านของเธอ
เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนหัวโผล่หาง [2] เธอเริ่มลองใช้วิธีของตนเองแก้ไขปัญหา
เธอไม่เอะอะโวยวาย แค่ไปพบคนที่รับผิดชอบการทำหนังสืออนุญาตประกอบกิจการ
“คุณคะ พวกเราต้องการทำใบอนุญาตประกอบกิจการ ตกลงแล้วตรงไหนที่ไม่ผ่านหรือ?”
เขารู้มาว่าเธอคือคนชนบทผู้ไม่เคยพบโลกกว้าง วาจาของเธออ่อนหวาน
แต่ไม่พบการแสดงออกว่าหวั่นเกรง
เวลาคนทำธุรกิจส่วนตัวมาเดินเรื่อง มีคนไหนไม่นบนอบถ่อมตนบ้าง
มีแต่กลัวว่าคนทำใบอนุญาตจะไม่สบายใจ ส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานน่ะหรือ
อ่อนโยนละมุนละม่อม ทว่ายืนกรานให้เขาอธิบายเหตุผลจนชัดเจนแจ้มแจ้ง
“ไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เรื่องของพวกเธอเอง ยังจะมารบกวนรัฐอีก! เด็กอย่างเธอนี่มีสำนึกสักนิดหรือเปล่า…”
ม่านตาคู่นั้นของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นประกายเหมือนหยดน้ำในสายหมอก
เธอนั่งด้วยท่าทางสง่างามอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าใครก็อดเมียงมองไม่ได้
โดนเซี่ยเสี่ยวหลานจ้องนานเข้า อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกละอายเล็กน้อย
การระเบิดอารมณ์เมื่อครู่เป็นเพราะความอับอายแปรเป็นโทสะ
เซี่ยเสี่ยวหลานถามกลับอย่างจริงจัง “ฉันทำตามนโยบายประเทศ
ยินดีเป็นตะปูเกลียว [3] ตัวเล็กตัวหนึ่งในระหว่างการเริ่มต้นปฏิรูปเศรษฐกิจ
เผชิญความเสี่ยงในการทำธุรกิจอิสระ เพราะว่ารัฐต้องการให้คนแบบพวกเราสั่งสมประสบการณ์! นี่เรียกว่ารบกวนรัฐหรือ? คุณนั่นแหละ
ควรอ่านผลงานสำคัญของ ‘ข้าราชการแห่งประชาชน’ ให้ละเอียดหน่อย ทำความเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น! ปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวมคือความยุ่งยาก ทั้งยังรบกวนรัฐ
คุณคนเดียวสามารถเป็นตัวแทนประเทศชาติได้หรือ?”
สุ้มเสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป
แต่คนทั้งห้องล้วนได้ยินทุกคำพูด
“เธอ… เธอพูดเหลวไหลจริง!”
พนักงานเดินเรื่องที่เฉื่อยชาและเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งยโสในตอนแรก
โดนคำพูดของเซี่ยเสี่ยวหลานตำหนิจนโมโห
หากคำพูดเหล่านี้แพร่ไปในหน่วยงาน หัวหน้าจะทำอย่างไรกับเขา
เพื่อนร่วมงานจะคิดอย่างไรอีก?
เซี่ยเสี่ยวหลานลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง “ฉันไม่ได้หวังว่าจะพูดให้ระคายหูเกินไป
ข้าราชการของประชาชนต้องปฏิบัติงานเพื่อประชาชนโดยแท้จริง
มวลชนคนไหนอยากจะเป็นประชาชนที่ไร้ระเบียบกัน? คุณเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเอกสารของฉันอีกครั้ง
หวังว่าคราวหน้าที่ฉันมา คุณจะบอกฉันได้ว่าตรงไหนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ
ฉันจะให้ความร่วมมือแก้ไขอย่างเต็มที่แน่นอน”
หา?
ตำหนิคนเสียขนาดนี้ คราวหน้ายังกล้ามาอีกหรือ?
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ฉากนี้ก็รู้ได้โดยทันทีว่าหนังสืออนุญาตประกอบการของเซี่ยเสี่ยวหลานน่าจะทำไม่สำเร็จเสียแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานใบหน้ายิ้มแย้ม งดงามทำเอานัยน์ตาพร่ามัว
หูหย่งไฉอยากจะเอาศีรษะมุดเข้าไปในเป้ากางเกง เขาคงโดนวิญญาณร้ายครอบงำเป็นแน่
ถึงเห็นด้วยที่จะช่วยเรื่องนี้ ปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานถ่อมา ‘ก่อปัญหา’ ถึงสำนักงานพาณิชย์เสียได้ พนักงานเดินเรื่องไม่ใช่ผู้ที่ขัดขาเซี่ยเสี่ยวหลาน
แต่เป็นตระกูลจูที่แจ้งเรื่องนี้ล่วงหน้าไว้ เซี่ยเสี่ยวหลานกระทำเช่นนี้
มิใช่การขัดใจตระกูลจูหนักกว่าเดิมหรือ?
เดิมทีเป็นเพียงความขัดแย้งเพียงเล็กน้อย หูหย่งไฉคิดว่าควรอดทนข่มความขุ่นข้องนั้นไว้
ส่งของขวัญกล่าวคำขออภัยแก่ตระกูลจู รอให้ไฟโทสะในใจมารดาจูฟ่างสงบลง
ธุระถึงจะสุดสิ้นสำเร็จได้น่ะสิ!
อย่าว่าแต่เซี่ยเสี่ยวหลานจะขอโทษอย่างเป็นทางการเลย เธอจะยืนหยัดที่จะต่อต้าน
อย่างเช่นการมาสำนักงานพาณิชย์ตำหนิคนจนโกรธเคืองในวันนี้
หูหย่งไฉไม่เข้าใจเหตุผลในการเพิ่มความขัดแย้งแบบนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานเลยจริงๆ
หูหย่งไฉถือว่าเป็นผู้ที่เห็นเซี่ยเสี่ยวหลาน ‘สร้างเนื้อสร้างตัว’ ตั้งแต่แรกเริ่มขี่จักรยานไปถึงบ้านพักรับรองประจำเมือง
แสร้งเป็นญาติของเขา ขายปลาไหลแก่บ้านพัก จนกระทั่งธุรกิจส่งปลาไหลขยายใหญ่ขึ้น
ต่อมาไม่ทำธุรกิจปลาไหลแล้ว พาครอบครัวย้ายมาซางตูด้วยกัน และริเริ่มขายเสื้อผ้า
นับจากวันที่ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกจนวันนี้ เป็นเวลาสั้นๆ เพียงสี่เดือนกว่า
เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถเช่าหน้าร้านสามคูหาที่ถนนเอ้อร์ชี และวางแผนเปิดร้านเสื้อผ้าบริหารด้วยตนเองแห่งแรกในเมืองซางตูได้แล้ว
เก่งกาจ รอบรู้ คือคำวิจารณ์ที่หูหย่งไฉมอบให้เซี่ยเสี่ยวหลาน
วันนี้ได้เพิ่มป้าย ‘หุนหัน’ บนจุดเด่นอีกหนึ่งอย่าง หูหย่งไฉถอนใจ สุดท้ายก็เป็นหญิงสาววัยรุ่นอยู่ดี
สะกดอารมณ์ไม่ได้สินะ
ทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของกันและกัน
อย่างน้อยเซี่ยเสี่ยวหลานก็เคยมอบของฝากเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาอยู่บ่อยครั้ง
จนเกิดเป็น ‘มิตรภาพลึกซึ้ง’ กับบ้านหู หูหย่งไฉตักเตือนเธอตามที่เขาเห็นว่าสมควรด้วยความหวังดี
“ปมระหว่างเธอกับบ้านจูยังไม่คลาย ครั้งนี้ก่อความวุ่นวายใหญ่โต ต่อให้ทำใบอนุญาตประกอบการสำเร็จ
อีกหน่อยเธอยังต้องทำธุรกิจในซางตู บ้านจูมีวิธีเล่นงานเธอแน่”
คนหนุ่มสาว ก้มหัวหน่อยจะเป็นไรไป
ตอนวัยเยาว์นบนอบเสียบ้าง พอชราจึงมีสุขได้อย่างสง่างาม
นั่นถึงจะเป็นความสำเร็จ
ตอนวัยเยาว์ไม่รู้จักนบนอบ
ขวางโลกไปทั่วอย่างไร้เหตุผลจนไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
พอชราเข้ากลับต้องเสียงอ่อนเสียงหวานขออาหารประทังชีวิต… อนาถยิ่งนัก
“พี่หู ฉันไม่ได้ขัดใจตระกูลจูหรอก แค่แม่ของจูฟ่างคนเดียวเท่านั้นน่ะ”
หูหย่งไฉตักเตือนไปมากทีเดียว เซี่ยเสี่ยวหลานกลับตอบเพียงหนึ่งประโยคนี้เท่านั้น
เขาโต้ตอบไม่ได้อยู่ชั่วครู่ เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มระรื่น
และดำดิ่งสู่ความคิดของตนเอง
ก่อความขุ่นข้องต่อตระกูลจูและติงอ้ายเจินคือคนละเรื่องกัน คนอื่นๆ ในตระกูลจูไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับเธอ
มีแค่ติงอ้ายเจินคนเดียวที่เกลียดชังเธอ ดังนั้นจึงติดตามหาเรื่องไปทุกหนแห่ง
ก่อนหน้านี้เซี่ยเสี่ยวหลานตกอยู่ในความเข้าใจผิด ทำไมเธอต้องต่อกรกับตระกูลจูทั้งตระกูลเล่า
ศัตรูของเธอมีเพียงติงอ้ายเจินคนเดียวเท่านั้น!
บางทีต้องเพิ่มสามีของติงอ้ายเจินด้วยอีกคน สามีภรรยาคือหนึ่งเดียว
บิดาของจูฟ่างย่อมยืนเคียงข้างติงอ้ายเจินอยู่แล้ว
สามีภรรยาคู่นี้ขอให้เหล่าเครือญาติตระกูลจูช่วยเหลือ
แต่พวกเขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของทั้งตระกูลได้
ก็เหมือนพนักงานเดินเรื่องคนนั้นเมื่อครู่ ยกตนเองเทียมความสูงส่งเดียวกับ ‘รัฐ’ ช่างยกยอตัวเองเหลือเกิน—เมื่อแก้ไขต้นเหตุของปัญหา ก็จะไม่มีคนตามหาเรื่องเธอ อีกทั้งระหว่างขั้นตอนของการคิดบัญชีกับติงอ้ายเจิน
ยังทำให้ตระกูลจูที่เหลือพิจารณาถึงความร้ายกาจของเซี่ยเสี่ยวหลานได้อีกด้วย
เมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้อ่อนข้อ คนอื่นมิใช่ลูกชายแท้ๆ ของติงอ้ายเจินเสียหน่อย
ทำไมต้องช่วยติงอ้ายเจินสร้างความวุ่นวายด้วยเล่า
จูฟ่างต่างหากที่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของติงอ้ายเจิน
ถึงเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าอีกฝ่ายไม่เลวร้ายแต่ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี
เธอและติงอ้ายเจินคือน้ำกับไฟ การหมางเมินกับจูฟ่างจึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง
ติงอ้ายเจินมีจุดอ่อนหรือไม่
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่จำเป็นต้องไปค้นหาด้วยตนเอง
ผู้บริหารระดับรองคนหนึ่ง เมื่อในมือมีอำนาจ เพื่อให้ตัวเองได้มาซึ่งผลประโยชน์
คงกล้ำกรายส่วนได้ส่วนเสียของผู้อื่นแน่ เซี่ยเสี่ยวหลานเชื่อว่าเธอต้องมีพันธมิตรแน่
นิสัยของติงอ้ายเจินน่ารังเกียจไม่น้อย
หรือทุกคนในโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามล้วนชื่นชอบผู้อำนวยการติง?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าตนเหมือนนักวางแผนร้ายยิ่งนัก มีสติว่ารู้ตนว่าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
เพื่อที่จะไม่ต้องต่อสู้กับติงอ้ายเจินโดยตรง จึงคิดจะผลักดันคนอื่นไปแทน
โต้กลับจางชุ่ยก็ต้องทำแบบนั้น หาคู่แข่งสักคนให้จางชุ่ย
ทำให้จางชุ่ยไม่มีเวลามาก่อกวนเธอ
ส่วนปัญหาเกี่ยวกับติงอ้ายเจินนี้ยกระดับขึ้นแล้ว
สร้างความยุ่งยากเล็กน้อยไม่ได้ อำนาจในมือผู้อำนวยการติงย่อมเหนือกว่าร้านของหญิงชนบทอย่างจางชุ่ย
จางชุ่ยไม่สามารถกระทบต่อเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเป็นรูปธรรม
ทว่าผู้อำนวยการติงขัดเส้นทางชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานได้
นี่คือ ‘ผีร้าย’ คนละระดับ
เซี่ยเสี่ยวหลานจะล่อกระสุนและลอบปล่อยสกิล [4] ในเวลาเดียวกัน
พ
เชิงอรรถ
[1]挂名头 แขวนชื่อ หมายถึง แค่ในนาม อยู่ในตำแหน่งแต่ไม่สามารถรับผิดชอบได้
[2]藏头露尾 ซ่อนหัวโผล่หาง หมายถึง หลบๆ ซ่อนๆ เกรงว่าความจริงจะเปิดเผย
[3]螺丝钉 ตะปูเกลียว หมายถึง คนธรรมดาแต่มีความสำคัญและขาดไม่ได้
[4]เป็นกลยุทธ์ในการเล่นเกมออนไลน์ประเภทเซอร์ไววัล
โดยการล่อวิถีกระสุนของอีกฝ่าย จากนั้นปล่อยพลังในการโจมตี