เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 5 ตอนที่ 129 มีคนรังแกพี่สะใภ้!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 5 ตอนที่ 129 มีคนรังแกพี่สะใภ้!
เล่มที่ 5 ตอนที่ 129 มีคนรังแกพี่สะใภ้!
คนในตระกูลจูไม่ได้มีพวกข้าราชการชั้นสูงอะไร
ติงอ้ายเจินเป็นผู้อำนวยการในโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สาม บิดาจูฟ่างก็เป็นเพียงหัวหน้าแผนกของสำนักงานรัฐ
แต่ความร้ายกาจคือเหล่าเครือญาติของตระกูลจูได้กระจายตัวดำรงตำแหน่งในระดับที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
เครือญาติห่างไกลล้วนมีอำนาจไม่มากก็น้อย ดูปกติไม่สะดุดตาเหมือนกับใยแมงมุม
ทว่าแทรกซึมไปในองค์กรและหน่วยงานบางส่วนของซางตูได้ ถ้าเป็นธุระประเภทจัดฝากงานทางตระกูลจูต้องเปลืองเส้นสายทางสังคมมากทีเดียว ทว่าสำหรับการยับยั้งหนังสืออนุญาตประกอบการของธุรกิจอิสระ
มีช่องว่างให้กระทำการเรื่องนี้ใหญ่กว่ามาก สามารถทำได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก!
คนดำเนินการไม่ได้พูดว่าไม่ทำให้ แต่พูดว่าคุณไม่ผ่านคุณสมบัติ
ถามอีกรอบก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานที่รีบร้อนเปิดกิจการเช่นนี้ หากเลื่อนเวลาไปอีกไม่กี่เดือนคงจะไม่ทันการเสียแล้ว…
จ่ายค่าเช่าก็แล้ว จ่ายเงินจำนวนมากในการตกแต่งภายในก็แล้ว มีหน้าร้านพร้อมใช้แต่กลับไม่ได้ใช้
ยังจะไปตั้งแผงลอย เซี่ยเสี่ยวหลานคงเป็นพวกสมองทึบแน่!
ไม่เป็นคนโง่แล้วจะทำอย่างไรได้?
กล้าดำเนินการโดยไร้ใบอนุญาตและดึงดันเปิดกิจการหรือ
ไม่เพียงแต่จะทำให้ ‘หลานเฟิ่งหวง’ เปิดร้านในสถานการณ์ที่ไร้หนังสืออนุญาตประกอบกิจการ
ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่ตระกูลจูจะใช้จัดการเธอ แม้แต่หน่วยตรวจการพานิชย์ก็สามารถตรวจสอบจนธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานจนพังทลายได้เช่นกัน
ไม่แน่ว่าอาจตั้งข้อหา ‘เก็งกำไรโดยมิชอบ’ แก่เซี่ยเสี่ยวหลานอีกด้วย จะเข้าคุกหรือไม่ต้องดูอารมณ์ของพวกเขา
เซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่วัยรุ่นที่ไร้ประสบการณ์
อุบายเหล่านี้เธอรู้จักดียิ่งกว่าอะไร
เพราะรู้จักดีถึงได้รังเกียจเดียดฉันท์ เวลาคนมีอำนาจเล็กน้อยในมือแต่กลับใช้อำนาจในทางมิชอบไม่ถือว่าน่าเกรงกลัว
แต่ช่าง ‘น่ารังเกียจ’ เสียจริงๆ
“บ้านจู!”
เซี่ยเสี่ยวหลานโมโหจนปวดฟัน
เธอกำลังครุ่นคิดว่าตนเองควรใช้วิธีการใดแก้ไขปัญหานี้
การกดดันด้วยอำนาจ แผนเอกคือหาคนที่ทีอำนาจมากกว่ากดดันพวกเขากลับ
แผนโทคือปลุกปั่นจูฟ่างไปโวยวายกับครอบครัว
แผนตรีคือเปลี่ยนตนเองเป็นหินที่ตำเท้า ตระกูลจูเหยียบโดนเธอก็ต้องเจ็บปวด
หลีกหนีไปให้ห่างไกลตั้งแต่บัดนี้!
หากพิจารณาระดับความยากในการจัดการของแผนเอก โท ตรี ทั้งสาม ลำดับก็พอย้อนสลับกันได้
ตัดแผนปลุกปั่นจูฟ่างกลับบ้านไปโวยวายออก
อันที่จริงแผนตรีง่ายดายกว่าเผนเอกเสียอีก
เซี่ยเสี่ยหลานควบคุมการกระทำของตนเองได้ง่ายกว่า
แผนเอกคือการหาคนที่อำนาจสูงมากดดันตระกูลจู…
ไร้ซึ่งต้นทุนมูลค่าเท่าเทียมสำหรับแลกเปลี่ยน คนมีอำนาจจะช่วยเธอไปทำไมกัน?
ตระกูลจูหยั่งรากลึกในซางตู ส่วนเธอนั้นไม่ใช่คนซางตูด้วยซ้ำ
ระยะเวลาของการเกิดใหม่สั้นเหลือเกิน
เซี่ยเสี่ยวหลานมีเวลาพอแค่มุ่งสู่ชีวิตชนชั้นกลาง โดยการพาครอบครัวย้ายจากชนบทเข้าเมืองมาเพื่อพัฒนาชีวิต
เดิมทีการทำความรู้จักเครือข่ายต่างๆ นานาเป็นแผนในขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้
เธอรู้จักผู้มีศักยภาพคนไหนบ้าง?
คนแรกคือเฉินวั่งต๋า หัวหน้าหมู่บ้านชีจิ่ง
คุณสมบัติทหารผ่านศึกยุคปฏิวัติ มีอำนาจเด็ดขาดในหมู่บ้านชีจิ่ง
มีเส้นสายเล็กน้อยในเขตอันชิ่ง แต่ในซางตูเมืองหลักประจำมณฑลอวี้หนาน เฉินวั่งต๋าไม่ถือว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่อะไรนัก
ผู้มีศักยภาพอีกคนคือหูหย่งไฉ คนจัดซื้อของบ้านพักรับรองประจำเมือง
หยิบยืมประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่การงาน จึงมีเครือข่ายคนรู้จักในซางตูอยู่บ้าง
เป็น ‘ปาท่องโก๋ [1]’ ประจำถิ่นซางตู
ทว่าในขณะเดียวกันก็ถูกจำกัดด้วยอาชีพจัดซื้อ ทำให้ไม่มีโอกาสปีนป่ายขึ้นสู่แวดวงสังคมที่สูงชั้นกว่าโดยสิ้นเชิง—หากคิดอีกแง่หนึ่ง ต่อให้หูหย่งไฉมีเส้นสายกับผู้หลักผู้ใหญ่สักคนจริง
ย่อมสายเกินไปที่จะหลบซ่อนแอบให้ความช่วยเหลือแก่เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ดี อีกทั้งทำไมเขาต้องอุทิศตัวช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานงัดข้อกับตระกูลจูด้วยเล่า?
เครือข่ายที่ไกลกว่านี้ก็คือทางเซี่ยนอีจง
การสอบปลายภาครอบนี้เธอน่าจะทำได้ดีมาก จะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่ซุนได้หรือไม่?
ช่างเถอะ อาจารย์ใหญ่ซุนอาจรู้จักคนในระบบการศึกษาของซางตูโดยอ้อม
แต่เขาเป็น ‘ที่พึ่ง’ ของเซี่ยจื่ออวี้
เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยให้อาจารย์ใหญ่ซุนร่วมวงเข้ามาได้!
หากประนีประนอมไม่ได้ ใช้อำนาจกดดันตระกูลจูไม่ได้
ดังนั้นก็ทำได้เพียงเกลือจิ้มเกลือกับตระกูลจู จับจุดอ่อนของตระกูลจูให้ได้!
เซี่ยเสี่ยวหลานจมอยู่ในความคิด หลิวหย่งอยากพูดบางอย่างแต่ก็รั้งไว้
“เสี่ยวหลาน คราวก่อนที่ลุงไปถอนหุ้นจากเพื่อน คังเหว่ยหาคนช่วยเจรจาให้
คนคนนั้นบอกว่าตัวเองถูกส่งมาโดยเลขาโหว เดิมทีเขาลังเลมาก พอได้ยินว่าเป็นเลขาโหว
พวกนั้นก็ตกลงในทันที”
หลิวหย่งร้อนรนจนโกรธเคืองเช่นกัน
ถ้า ‘หลานเฟิ่งหวง’ เปิดกิจการไม่ได้
ทรัพย์สินของเขาและหลานสาวอาจไม่ถึงขั้นขาดทุนย่อยยับ ทว่าแผนงานภาพรวมอาจถูกทำให้หยุดชะงัก
เงินสำหรับตกแต่งภายในลงทุนไปเกือบหมด วัสดุก็ซื้อเรียบร้อย
เหลือแค่ค่าแรงของคนงานที่ยังไม่ได้ชำระ บวกค่าเช่าเข้าไปอีก ร้านสามคูหานี้ได้ลงทุนเงินถึงหลักหมื่นหยวนแล้ว…
ถ้าเปิดกิจการไม่ได้ มิใช่ว่าเงินหลักหมื่นต้องเสียเปล่าหรือ?
ไปหยางเฉิงเพื่อเหมาเสื้อผ้ามาขายกำไรดีไม่ใช่น้อย แต่หลิวหย่งรู้ดีว่ามันเหนื่อยยากเพียงใด
เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งอายุ 18 ปี
เดินทางไปหยางเฉิงหนึ่งรอบก็ต้องอยู่บนรถไฟนานกว่า 30 ชั่วโมง เทียวไปเทียวมาทั้งยังนั่งที่นั่งธรรมดารวม 70 กว่าชั่วโมง ทำได้แค่หมอบงีบบนโต๊ะ นั่งจนเหนื่อย หากต้องการยืดเส้นยืดสายก็ทำได้เพียงเดินในตู้รถเท่านั้น!
เพื่อที่จะขายเสื้อผ้า ยังต้องทนกับสภาพอากาศอันแสนเยือกเย็นด้านนอกในช่วงฤดูกาลอันหนาวเหน็บ
แต่งตัวหนาแค่ไหน ยืนอยู่ข้างนอกในฤดูหนาวทั้งวัน
ลมหนาวจะไม่แทรกเข้าผ่านคอเลยหรือ? แขนเสื้อรัดกุมแค่ไหน
พันผ้าพันคอไปก็ไร้ประโยชน์ ค้าขายต้องตะโกนเสียงดังฟังชัด
ใส่ผ้าปิดปากจะสมควรหรือ!
หลิวหย่งไม่เคยไปตั้งแผง ทว่าหลี่เฟิ่งเหมยเพิ่งตั้งแผงเองสองวัน
ยืนจนเท้าบวมน้ำ ตกกลางคืนต้องออกแรงอย่างมากกว่าจะถอดรองเท้าได้
จากนั้นก็ต้มน้ำเดือดจัด เบ้หน้าอดทนต่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูง แช่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง
มิเช่นนั้นเลือดลมบริเวณเท้าจะไหลไม่ดี กลางดึกหนาวเย็นจนนอนไม่หลับ
วันต่อมาจะเดินไม่ไหว
ตอนนั้นหลี่เฟิ่งเหมยกัดฟันแช่เท้าพลางพูดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานลำบากยิ่งนัก
ทำธุรกิจอิสระไม่ได้สุขสบายไปมากกว่างานเกษตรเลย
ตอนหลี่เฟิ่งเหมยประสบธุรกิจไม่ราบรื่น ก็ร้อนใจเสียธาตุไฟเข้าแทรก
เกิดแผลร้อนในภายในปาก ทำงานเกษตรเหนื่อยกาย ทำธุรกิจอิสระเหนื่อยทั้งกายและใจ
สินค้าต้องใช้เงินซื้อมา ขายไม่ออกจะกดดันมากขนาดไหน?
หาเงินลำบากถึงเพียงนี้ หลิวหย่งคัดค้านการคบหาดูใจของโจวเฉิงและเซี่ยเสี่ยวหลานก็จริง
แต่สงสารในความลำบากของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ดี
มีเส้นสายทำไมไม่ใช้เล่า!
มิใช่ว่าตระกูลจูก็ใช้อำนาจเล็กๆ น้อยๆ ข่มเหงคนหรอกหรือ?
คำพูดของโจวเฉิงมีความจริงใจทีเดียว หลิวหย่งอยากชมให้เห็นกับตาเสียหน่อยว่าเขาเอาความจริงใจออกมาได้เท่าไรกันแน่
“ลุงหมายความว่า โจวเฉิงรู้จักคนมีอิทธิพลในวางตู?”
“ถ้าไม่ใช่โจวเฉิง ก็เป็นคังเหว่ย
หนึ่งในพวกเขาสองคนต้องมีเส้นสายในซางตูแน่นอน”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดๆ แล้ว หน่วยงานของโจวเฉิงควบคุมเข้มงวด
เธอจึงลองถามไถ่คังเหว่ย
พอคังเหว่ยได้รับโทรเลข ก็โห่ร้องพลางกระทืบเท้าไปด้วย
“เสี่ยวกวง พี่กวง พี่เอาเรื่องของพี่เฉิงจื่อป่าวประกาศไปทั่ว
ตอนนี้โอกาสทำดีชดเชยความผิดมาถึงแล้ว… พี่ฟังผมนะ มีคนรังแกภรรยาพี่โจวเฉิง
ไม่ยอมปล่อยใบอนุญาตประกอบกิจการให้เธอ”
ไม่เหมือนการค้าบุหรี่เก็งกำไรเช่นพวกเขา ร้านเสื้อผ้าเป็นธุรกิจเปิดเผย
ทำไมจึงไม่ให้ใบอนุญาตประกอบการล่ะ?
รังแกเซี่ยเสี่ยวหลานเพราะเป็นเพียงคนชนบท
ไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่ในซางตู ไร้คนออกหน้ากู้สถานการณ์แทนสินะ
เก่งกาจเสียจริงๆ คนทั้งตระกูลข่มเหงเด็กสาวต่างถิ่นคนเดียว!
คังเหว่ยจับเส้ากวงหรงได้แล้ว
เส้ากวงหรงสุราเข้าปากก็ก่อเรื่อง สาบานว่าจะไม่ปากสว่าง แต่กลับทำเรื่องแดงจนคนทั่วสารทิศรู้กันภายในเวลาเพียงสองวัน
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องราวได้แพร่ไปถึงหูผู้ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไร
เส้ากวงหรงไม่กล้าสู้หน้าคังเหว่ย ช่วงนี้จึงเอาแต่หลบหน้าหลบตา หลังจากที่ได้ยินคังเหว่ยพูดว่า ‘ทำดีชดเชยความผิด’ ขึ้นมา
นัยน์ตาของเส้ากวงหรงก็ส่องประกายความเจ้าเล่ห์ออกมาทันที
“จะไปซางตูหรือ? ได้ได้ได้ เดี๋ยวฉันจะไปทักทายพี่สะใภ้ด้วยตัวเอง…
โอ้ไม่สิ ฉันจะไปทักทายลุงของฉันต่างหาก”
พ
เชิงอรรถ
[1]老油条 ปาท่องโก๋ หมายถึง คนที่เจนโลก มีประสบการณ์ เอาตัวรอดได้เก่ง