เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 5 ตอนที่ 127 เธอเหมือนจันทรารายล้อมด้วยดารา
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 5 ตอนที่ 127 เธอเหมือนจันทรารายล้อมด้วยดารา
เล่มที่ 5 ตอนที่ 127 เธอเหมือนจันทรารายล้อมด้วยดารา
“วันนี้เป็นการสอบปลายภาคของเซี่ยนอีจง พี่เสี่ยวหลานเขาจะโผล่มาก็เป็นเรื่องปกตินี่นา”
จางชุ่ยพยายามพูดอย่างสุขุมสุดความสามารถ ผิดหวังมาแล้วไปครั้งหนึ่ง เธอจึงไม่ค่อยกล้าเดินหมากซี้ซั้วอีก
เซี่ยหงเซี๋ยกัดริมฝีปาก เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานถูกห้อมล้อมด้วยนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง
มีความสุขกับการเป็นดวงจันทร์ที่รายล้อมด้วยหมู่ดารา แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา
ทว่ากลับสดชื่นแจ่มใส ดูกระปรี้กระเปร่าออกขนาดนั้น!
สมองเท่าเมล็ดเหอเถา [1] อย่างเซี่ยหงเซี๋ยคนนี้
เธอพิจารณาผู้คนว่ามีชีวิตดีหรือไม่โดยไม่ใช้การงาน การศึกษา
และความสำเร็จมาตัดสิน เธอมองแค่รูปลักษณ์ภายนอก…
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้วาดคิ้วหรือผัดหน้าแท้ๆ กลับกลายเป็นยิ่งงดงามมากขึ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานในอดีตสะสวยก็จริง แต่ไม่ฉลาดสักเท่าไร
ความสวยแบบนั้นทำได้เพียงอวดโอ้ไปวันๆ
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานในตอนนี้มั่นใจในศักยภาพของตนเอง
รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามจึงมีพลังคอยค้ำจุน ไม่ใช่เปลือกนอกว่างเปล่าอีกต่อไป
ความสวยดาษดื่นกลายเป็นความงามอหังการ
เซี่ยหงเซี๋ยนึกคำคุณศัพท์สละสลวยพวกนั้นไม่ออกแน่นอน
เธอเพียงคิดว่าทุกท่วงท่าของเซี่ยเสี่ยวหลานล้วนงดงามอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งนี้ทำให้เซี่ยหงเซี๋ยเกิดความริษยา
ที่จริงแล้วคนตระกูลเซี่ยหน้าตาก็ไม่ได้เลวร้าย ในหมู่สามสาวตระกูลเซี่ย
เป็นเซี่ยหงเซี๋ยที่ดูธรรมดาสามัญสุด ทว่านี่คือการเทียบกันภายใน หากเปรียบกับคนนอกจริงๆ
เธอก็ถือว่าคือสาวงามพอใช้คนหนึ่งเลยทีเดียว
โชคร้ายที่เธอเป็นคนละโมบแต่ดันไร้สมอง ทะเยอะทะยานแต่ขาดความสามารถทั้งยังไม่ยอมกระตือรือร้นเพียรพยายาม
ไม่มีรูปลักษณ์เป็นต่อแถมอาศัยการเรียนหนังสือเปลี่ยนแปลงชีวิตเหมือนเซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้อีก
เอาแต่คิดชุบมือเปิบรอโชคจากฟากฟ้าหล่นมาทับ เมื่อร้องขอแล้วไม่ได้
มิใช่ว่าต้องจมอยู่ในความขุ่นเคืองและอารมณ์ริษยาตลอดเวลาหรือ!
“ป้า เธอจงใจสินะ!”
น้าหวงจานด่วนมาเพื่อชิงลูกค้าของจางจี้ เซี่ยเสี่ยวหลานกลับพาคนกลุ่มหนึ่งไปรับประทานอาหารที่นั่น จะบอกว่าเธอไม่จงใจก็คงไม่มีคนเชื่อแน่
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ญาติดีกับตระกูลเซี่ยแล้ว
จางชุ่ยและเซี่ยหงเซี๋ยไม่ปล่อยเธออยู่อย่างเป็นสุข เธอยังจะมาใส่ใจธุรกิจของจางจี้อีกหรือ?
จางชุ่ยบังคับตนเองให้ละสายตา “เสี่ยวหลานไม่พอใจพวกเรา
มาหรือไม่มากินที่จางจี้น่ะไม่สำคัญ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทั้งครอบครัวจะรักใครกลมเกลียวกันอีกครั้งได้เมื่อไร
รอพี่จื่ออวี้ของหลานกลับมา ไม่แน่ว่าเธอจะมีความคิดเข้าทีอะไรบ้างหรือเปล่า”
เซี่ยหงเซี๋ยแววตาเป็นประกาย “พี่จื่ออวี้จะกลับมาแล้วหรือ?”
จางชุ่ยพยักหน้า “ปิดภาคเรียนฤดูหนาวต้องกลับมาแน่นอน
และจะพาพี่เขยของหลานกลับมาด้วย”
จางชุ่ยเก็บซ่อนความกระหยิ่มใจไว้แทบไม่มิด
เซี่ยจื่ออวี้คือลูกสาวสุดแสนจะน่าภาคภูมิใจของเธอ แม้จะพูดว่าลูกชายเท่านั้นที่เป็นผู้สืบสกุลได้
แต่ถ้าไม่มีเซี่ยจื่ออวี้ลูกสาวคนนี้ เธอจะมีชีวิตดีแบบตอนนี้ได้ที่ไหนกัน?
ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยจื่ออวี้ขอร้อง
จางชุ่ยคงถูกเหนี่ยวรั้งเป็นหญิงชนบทอยู่หมู่บ้านต้าเหอไม่ต่างจากหวังจินกุ้ย
แม่เฒ่าเซี่ยก็คงไม่มีทางยินยอมให้เธอตามเข้าเมืองมาแน่
“แต่ไม่ใช่ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกับพี่เขย…”
เซี่ยหงเซี๋ยอยากเอ่ยบางอย่างแต่ก็ยั้งไว้ ท่าทางมีเจตนาร้าย
ใช่ เซี่ยเสี่ยวหลานชอบหวังเจี้ยนหัวมากเหลือเกิน
มิเช่นนั้นก็คงไม่โกรธเคืองจนชนผนังฆ่าตัวตาย จางชุ่ยยังจำได้ว่าตอนนั้นแม่เฒ่าเซี่ยด่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์
ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียเลยว่าตัวเองเป็นอย่างไร
หากหวังเจี้ยนหัวไม่ชอบนักศึกษามหาวิทยาลัยเช่นเซี่ยจื่ออวี้ เขาจะชอบผู้หญิงสำส่อนคนหนึ่งได้หรือ?
วาจาเหล่านี้กระทบกระเทือนใจของเซี่ยเสี่ยวหลานเข้า ตอนนั้นเธอจึงตัดสินใจพุ่งชนผนังเกือบสิ้นลมหายใจ
จางชุ่ยเชื่อมั่นว่าสาเหตุที่เเซี่ยเสี่ยวหลานต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพราะยังไม่ละทิ้งความคิดอกุศลต่อหวังเจี้ยนหัว
เซี่ยจื่ออวี้พาหวังเจี้ยนหัวกลับมาตอนปิดภาคเรียนฤดูหนาว
จะกระตุ้นเซี่ยเสี่ยวหลานใช่หรือไม่?
จางชุ่ยทั้งกลัวเซี่ยเสี่ยวหลานจะไร้ยางอายก่อเรื่องอุบาทว์ยั่วยวนหวังเจี้ยนหัว
และกลัวว่าเซี่ยเสี่ยวหลานอดทนได้
อดทนอย่างจริงจังรอสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วค่อยสร้างความวุ่นวายทีเดียว…
เธอกำลังวิเคราะห์ว่าจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้อย่างไร
——————————————-
เซี่ยเสี่ยวหลานจงใจแน่นอน
เธอเพียงไหลไปตามสถานการณ์ ทว่าดูแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีทีเดียว ‘ข้าวราดหน้า’ รสชาติอร่อยหรือไม่แค่ดูสีหน้าของเหล่านักเรียนหญิงก็รู้แล้ว
มือเท้าที่เยือกแข็งเพราะความหนาวเหน็บ หลังจากรับประทานข้าวราดกรุ่นไอร้อนระอุลงท้องไป
ทั้งร่างกายย่อมรู้สึกอบอุ่นขึ้น ความอยากอาหารของผู้คนในยุค 80 โดยทั่วไปค่อนข้างมาก
ไม่มีหญิงสาวแมวดมรับประทานอาหารสองสามคำก็บอกว่าอิ่มด้วยซ้ำ
จานที่น้าหวงใช้ใส่ข้าวราดมีขนาดใหญ่โต ก้อนข้าวก็อัดได้แน่นมากเช่นกัน…
องค์ประกอบข้าวราดหนึ่งจานรวมเข้าด้วยกัน อาจไม่เกินหนึ่งชั่ง
แต่ต้องถึงแปดเก้าเหลี่ยง [2] อยู่แล้ว
อย่างน้อยปริมาณข้าวสวยก็มากกว่าครึ่งชั่ง!
เซี่ยเสี่ยวหลานออกความเห็นแก่น้าหวงว่าข้าวสวยสามารถเติมชามที่สองโดยไม่คิดเงินได้
ส่วนกับข้าวไม่ได้
ข้าวสาร 1 ชั่งราคาเพียงสองเหมากว่า
หุงเป็นข้าวได้สองชั่ง การเรียกน้ำย่อยผู้คนให้รับประทานข้าวสองชั่ง
อันที่จริงต้นทุนเพียงสองเหมา หากเจอลูกค้าประเภทนี้ย่อมทำกำไรได้น้อยหน่อย
ทว่าข้าวราดหนึ่งจานขาย 6 เหมา
น้าหวงไม่มีทางขาดทุนแน่
อย่างไรเสียลูกค้าแบบนั้นก็มีอยู่น้อย
แต่พอลูกค้าทุกคนฟังแล้วจะรู้สึกไม่เหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดเมื่อเพื่อนนักเรียนหญิงในชั้นเดียวกับเซี่ยเสี่ยวหลานได้ยินว่าสามารถเติมข้าวโดยไม่เสียเงินก็ดีใจกันทั้งนั้น
“คุ้มค้าจริงๆ นะ!”
“แต่ฉันกินชามที่สองไม่ไหวแล้ว”
“นี่สิถึงเรียกว่าคนซื่อตรงต่อธุรกิจ…”
เหล่านักเรียนหญิงสนทนากันครึกครื้น พวกเธอจะเติมข้าวชามที่สองจริงเสียที่ไหน
นักเรียนผู้ยากจนยังต้องกัดหมั่นโถวดื่มน้ำเย็น
ส่วนนักเรียนหญิงที่สามารถจ่ายเงินรับประทานอาหารในร้านได้
ความจริงก็ไม่ขาดแคลนข้าวหนึ่งชามนั่นหรอก
แม้การให้พวกเธอเติมข้าวสวยรับประทานอีกหนึ่งชามจะค่อนข้างยาก ทว่าอย่างไรเสียกับข้าวทัพพีใหญ่ก็เกลี้ยงจานไปตั้งนานแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าตนเองจะไปล้างมือ
ความจริงคือเธอได้จ่ายเงินค่าอาหารของเพื่อนนักเรียนแล้ว แต่น้าหวงกลับไม่ยอมรับเงินไว้
เซี่ยเสี่ยวหลานดึงดันยัดใส่มือเธอจนได้
“กิจการรุ่งเรืองนะจ๊ะ นี่เป็นข้าวมื้อแรกที่ฉันกินในร้านน้าหวง
จะไม่ให้เงินได้อย่างไร?”
เธอเป็นคนเสนอความคิดเห็นแก่น้าหวง แต่ไม่ต้องการเอาเปรียบ
น้าหวงปฏิเสธไม่ได้ จึงรับเงินของเพื่อนนักเรียนไว้ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้รับเงินส่วนของเซี่ยเสี่ยวหลาน
ตอนคิดเงินพวกเธอถึงรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจ่ายเงินเรียบร้อย
ขอให้น้าหวงคืนเงินก่อน น้าหวงหัวเราะร่วนพลางยึดถือความต้องการของเซี่ยเสี่ยวหลาน
“ข้าวมื้อเดียวจะเป็นอะไรไป ใครเลี้ยงใครก็เหมือนกันหรือเปล่า? มิตรภาพของทุกคนประเมินค่าไม่ได้นะ!”
รวมเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยก็มีเพียง 9 คน
ข้าวราดหนึ่งจานราคา 6 เหมา ดังนั้น 9 คนแค่ห้าหยวนสี่เหมา อีกอย่างน้าหวงไม่รับเงินหนึ่งส่วนซึ่งเป็นของเธอ
เลี้ยงอาหารสำเร็จโดยจ่ายเงินไม่ถึงห้าหยวน
ตอนนี้ประธานเซี่ยไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงินเลยจริงๆ
ทว่าคนอื่นๆ ไม่คิดแบบนี้น่ะสิ
พวกเธอล้วนรับรู้มาว่าเซี่ยเสี่ยวหลานฐานะครอบครัวไม่ดี โรงเรียนจึงยินยอมให้เธอทำงานกับเรียนไปพร้อมกันและเวลาปกติสามารถไม่มาเข้าเรียนได้
เงิน 5 หยวนสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานต้องไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานจ่ายเงินเพราะไม่ต้องการให้ทุกคนดูถูกเธอรึเปล่า?
เฮ้อ พวกเธอจะดูถูกหัวกะทิได้อย่างไร หน้าสะสวยแถมผลการเรียนเด่น
ทั้งยังมีมนุษยสัมพันธ์ดีอีกด้วย
มีเพื่อนกล่าวนำพลางหัวเราะ “ได้ ให้ก็ให้
คราวหน้าต้องเป็นฉันเลี้ยงคืน ใครก็อย่าแย่งโอกาสนี้กับฉันล่ะ!”
คนอื่นๆ พากันเซ็งแซ่ “ผลัดกันเลี้ยง
ผลัดกันเลี้ยง!”
เซี่ยเสี่ยวหลานถูกพวกเธอเย้าแหย่จนหัวเราะรื่น
น้าหวงยินดีมากเช่นกัน มารับประทานหลายๆ ครั้ง
ชื่อเสียงของร้านเธอจะกว้างขวางขึ้น
เปิดร้านตรงนี้ก็เป็นการมุ่งเป้าหมายว่านักเรียนของเซี่ยนอีจงจะมาใช้บริการ
เซี่ยเสี่ยวหลานโดนเพื่อนฝูงห้อมล้อมเดินเข้า ‘น้าหวงจานด่วน’ หลังรับประทานข้าวราด ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเหมือนจะชิดใกล้มากขึ้น
เด็กสาวหนึ่งกลุ่มหัวร่อต่อกระซิกจากไป
ล้วนเป็นดวงหน้าอ่อนเยาว์สดใสเปี่ยมพลังชีวิต
เขาว่ากันว่าไม่มีหญิงขี้เหร่ที่อายุสิบแปด [3] เมื่อสมบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยชีวิตชีวา
ยิ่งเจือความงดงามของดรุณี
อิทธิพลของพวกเธอทำให้คนสัญจรผ่านไปมาจับจ้องอย่างต่อเนื่อง
มีลูกค้าบางคนที่ตอนแรกไปถึงจางจี้อาหารว่างแล้ว แต่กลับถูกเบี่ยงเบนความสนใจโดยกลุ่มของเซี่ยเสี่ยวหลาน
พวกเขาฝีเท้าชะงัก “ลองชิมอาหารจานด่วนอะไรนั่นดีไหม? ด้านล่างป้ายเขียนไว้ว่าข้าวผัดกับข้าวราด ได้กลิ่นหอมเชียว”
ไม่พูดอย่างเดียว ทั้งยังเปลี่ยนทิศทางตามที่กล่าวจริงๆ เดินไปร้านน้าหวงจานด่วนแทน
สายตามองเห็นลูกค้าที่กำลังจะเข้าร้านหลุดหายไป
ผ้าขี้ริ้วในมือจางชุ่ยโดนเธอดึงทึ้งจนเสียทรง
—มีอะไรให้โกรธกันเล่า ก็แค่ลูกค้าไม่กี่คนอยากลองของใหม่เท่านั้น!
อยู่ดีๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็หันหน้ามา แววตาจึงประสานเข้ากับเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มเยาะให้จางชุ่ย
รอยยิ้มนั่นช่างน่าชังเป็นที่สุด
พ
เชิงอรรถ
[1]核桃 เหอเถา คือ วอลนัต
[2]两 เหลี่ยง คือ หน่วยน้ำหนัก เท่ากับ 50 กรัม
[3]十八岁五丑女 ไม่มีหญิงขี้เหร่ที่อายุสิบแปด หมายถึง เมื่อผู้หญิงเติบโตจนอายุสิบแปดปี
ซึ่งเป็นวัยสาวสะพรั่งเต็มที่ แม้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ก็ยังดูงดงามน่ามองอยู่ดี