เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 5 ตอนที่ 126 มนุษยสัมพันธ์มันดีแบบนี้นี่เอง!
- Home
- All Mangas
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 5 ตอนที่ 126 มนุษยสัมพันธ์มันดีแบบนี้นี่เอง!
‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ นามนี้แม้อยากละเลยก็ทำไม่ได้.
คนที่เคยพบเธอยากจะลืมเลือน ส่วนคนที่ไม่เคยพบเธอด้วยสองตา ทว่าในการสอบย่อยทุกครั้งผลคะแนนของเธอก็ติดอยู่ตรงลำดับต้นๆ
นั้น หากไม่ได้ตามืดบอดย่อมมองเห็นได้ นักเรียนกลางภาคเรียน สวย คะแนนดี ลึกลับ…
คำอธิบายเหล่านี้ล้วนเป็นป้ายที่แปะบนตัวของเซี่ยเสี่ยวหลาน ต่อมายังต้องเพิ่ม ‘เสียสละ’ ด้วยอีกหนึ่งอย่าง
เธอไม่กลัวว่าคะแนนจะโดนคนอื่นนำหน้าหรือ?
ได้แบบฝึกหัดมาไว้ในมือ กลับแบ่งปันให้นักเรียนทั้งชั้นปีทำ
อีกทั้งยังมีวิธีการเรียนรู้ซึ่งเปิดเผยโดยเฉินชิ่งอีกด้วย ไม่เพียงสามารถนำมาใช้ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษเท่านั้น
แต่ยังใช้กับวิชาที่ท่องจำอื่นๆ ก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน
ไม่รวมว่าเดิมทีเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่มีชื่อเสียอะไรในเซี่ยนอีจงอยู่แล้ว แต่ต่อให้เธอกระทำเรื่องชั่วช้าสามานย์มากมาย
ทว่าเพราะการแบ่งปันข้อสอบและวิธีการเรียนสองสิ่งนี้
ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่รู้สึกขอบคุณเธอ! นับประสาอะไรกับเวลาที่เซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัวภายในโรงเรียนช่างน้อยนิด
ขนาดนักเรียนหญิงก็แทบจะไม่ริษยาเธอ เธอแต่งตัวเรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน ราวกับต้องการทำให้ผู้เข้าสอบประจำมัธยมปลายปีสามทุกคนเกิดความชื่นชอบในจิตใจ
เธอเกรงกลัวว่าคนอื่นจะล้ำหน้าหรือไม่?
ทุกครั้งที่นักเรียนหัวกะทิได้คะแนนเพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกการสอบ
กำลังก้าวหน้าเหมือนกัน แค่คนอื่นตามก้าวเดินของเธอไม่ทัน
แน่นอนว่าต้องมีคนพูดจาไม่เข้าท่าลับหลังอยู่แล้ว “ทำไมเธอล้ำหน้าเร็วยิ่งนัก? เธอต้องมีวิธีเรียนที่ดีกว่าแต่ไม่เอาออกมาแน่นอน!”
—เฮอะ ไม่ได้ติดหนี้เธอเสียหน่อย`
—ให้เปล่าแล้วยังจะมีปัญหาอีก
เช่นนั้นก็อย่าทำข้อสอบที่เซี่ยเสี่ยวหลานเอามานะ!“
—เนรคุณ
นักเรียนส่วนใหญ่ล้วนมีสามทัศน์ที่เที่ยงตรงสูงสุด
คนพูดไร้สาระจึงโดนตำหนิเสียแทบไม่รอด
เกาเข่าคือการแข่งขันกับผู้เข้าสอบทั่วประเทศ
จะจดจ้องเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปล่อยเพื่ออะไร? วิธีการเรียนแบบเดียวกัน
แต่จะไม่อนุญาติให้เซี่ยเสี่ยวหลานผู้มีมันสมองยอดเยี่ยมได้ประสิทธิภาพดีเป็นพิเศษหรือ?
จากการบอกเล่าของเฉินชิ่ง
เพื่อนนักเรียนร่วมชั้นรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจบการศึกษาระดับมัธยมต้นและเรียนด้วยตนเองที่บ้านสามปี
พวกเขาจินตนาการกันไปเองว่าเธอผิดหวังจากการสอบ
ปีนั้นไม่สามารถสอบติดจงจวน แต่หัวกะทิก็คือหัวกะทิอยู่ดี
ศึกษาเองที่บ้านสามปียังเข้าเรียนเพื่อสอบมหาวิทยาลัยได้เลย!
ทั้งยังมีคนร่ำลือกันว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นลูกพี่ลูกน้องของเซี่ยจื่ออวี้…
เซี่ยจื่ออวี้ก็เพิ่งจากเขตอันชิ่งไปได้เพียงครึ่งปี
ถูกรับเข้าศึกษาโดยวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง ชื่อบนบัญชีเกียรติยศของโรงเรียนยังเปลี่ยนสีไม่หมด
คนจำนวนไม่น้อยล้วนจดจำเซี่ยจื่ออวี้ได้
ทว่าอย่างไรเสียยอดนักเรียนเซี่ยกับเซี่ยจื่ออวี้มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนกันสักเท่าไร
เซี่ยจื่ออวี้หน้าตาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ตอนอยู่เซี่ยนอีจงมีคนมากมายให้ความสนใจเช่นกัน
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วก็ยังด้อยกว่าหลายช่วงตัว
ด้วยแววตาของนักเรียนชายผลลัพธ์ย่อมออกมาเป็นเช่นนี้
นักเรียนซ้ำชั้นปีเดียวกันกับเซี่ยจื่ออวี้ที่เคยสนทนากับเธอ ต่างบอกว่าเธอเป็นคนอ่อนโยนละมุนละม่อม
ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งดื่มด่ำกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ [1]… ทว่าพอเซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัว กลับไม่กล้ามองอย่างตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ
เพียงเอียงแอบพิจารณา ตนเองยังหน้าแดงก่ำได้ เธองดงามอย่างกับคนในโทรทัศน์
“เพื่อนเสี่ยวหลาน ฉันมีปากกา”
“เพื่อนเซี่ย ใช้ของฉันสิ ปากกาด้ามนี้ของฉันเขียนลื่นไหล”
เซี่ยเสี่ยวหลานจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นที่นิยมชมชอบ? ขณะสอบวิชารัฐศาสตร์เธอทำปากกาหมึกซึมตกเสียหาย
ปลายปากกาพังแล้วย่อมใช้ต่อไม่ได้ เธอถามอาจารย์คุมสอบว่าขอยืมปากกาสักแท่งได้หรือไม่
ผลคือคนมากกว่าครึ่งห้องสอบล้วนอยากให้เธอยืมปากกา!
“รักษาระเบียบ!”
อาจารย์คุมสอบตะโกนกึกก้องอยู่บนแท่นบรรยาย หากในห้องสอบเกิดความวุ่นวาย
มีคนฉวยโอกาสทุจริตจะทำอย่างไร?
แม้คะแนนการสอบปลายภาคไม่เกี่ยวข้องกับเกาเข่า แต่มีนักเรียนบางคนไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความจริง
อาจารย์คุมสอบจึงต้องรักษาความยุติธรรมและความเคร่งครัดในการสอบ
เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอทำได้แค่รับปากกาหนึ่งด้ามจากคนที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด และเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก
ได้รับการเอาอกเอาใจล้นหลามโดยแท้จริง!
ชาติก่อนผลการเรียนของเธอก็ไม่เลว ทว่าตอนศึกษาเล่าเรียนนั้นเธอทั้งจนและซอมซ่อ
นิสัยน้อยเนื้อต่ำใจ มนุษยสัมพันธ์ก็ย่ำแย่ยิ่งนัก เธออยู่โรงเรียนทั้งวันทั้งคืนแท้ๆ
แต่หลังจบมัธยมปลายปีสามกลับยังมีคนเรียกชื่อเธอไม่ถูกอยู่เลย… พอตอนนี้น่ะหรือ
ตัวเธอมาเซี่ยนอีจงเพียงไม่กี่หน แต่ดันเป็นจุดสนใจของสายตานับหมื่น
สอบวันแรกเสร็จ พอได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะพักอยู่ที่บ้านพัก
นักเรียนหญิงห้อง 3 หลายคนก็ชวนเธอไปพักที่บ้าน
และมีบางคนบอกว่าเบียดกับเพื่อนสักหน่อยได้
ให้หนึ่งเตียงว่างแก่เธอนอนในหอพักโรงเรียน!
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าสภาพที่อยู่อาศัยของบ้านใครๆ ก็ไม่เพียงพอนัก
จะถ่อไปพักบ้านเพื่อนนักเรียนหญิงได้ที่ไหนกัน
ให้คนอื่นสละเตียงแก่เธอยิ่งรับไว้ไม่ได้เลย
“ช่วงสอบต้องพักผ่อนให้เหมาะสม พวกเธอดีต่อฉันเหลือเกิน
แต่ทำเพื่อการสอบที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้เถอะ น้ำใจของทุกคนฉันรับไว้หมดแล้ว”
ไมตรีจิตนั้นยากที่จะปฏิเสธ นักเรียนหญิงจำนวนหนึ่งจึงบอกว่าจะไปส่งเธอกลับบ้านพัก
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าปกติมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นน้อยมาก
จึงตกลงด้วยความยินดี
“เสี่ยวหลาน กินอะไรหน่อยไหม?”
“ใช่เลย พวกเราเลี้ยงข้าวเธอดีกว่า เพื่อนเสี่ยวหลาน!”
“มื้อนี้ต้องให้เลี้ยงนะ ปกติเธอไม่มาเข้าเรียน
ทุกคนอยากรู้เกี่ยวกับเธอจะตาย!”
ด้วยระดับอีคิวของเซี่ยเสี่ยวหลาน
การเพลิดเพลินกับสาวน้อยกลุ่มหนึ่งซึ่งยังไม่เข้าสู่สังคมใหญ่ช่างเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก
พวกเธอคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสวยและอัธยาศัยดี
การพูดคุยสัพเพเหระกับเซี่ยเสี่ยวหลานคือความรื่นรมย์ที่ออกมาจากใจ
จึงชิงจะเลี้ยงอาหารเซี่ยเสี่ยวหลานก่อน
นักเรียนหญิงเหล่านี้ฐานะครอบครัวไม่เลวร้าย
เงินไม่กี่เหมาสำหรับพวกเธอไม่ถือเป็นภาระ
คนหนึ่งกลุ่มห้อมล้อมเซี่ยเสี่ยวหลานพลางบอกว่าจะไปรับประทานที่จางจี้ เซี่ยเสี่ยวหลานชี้ไปยังร้านเปิดใหม่ตรงข้ามจางจี้
“ลองชิมร้านนี้ดีกว่าไหม?”
“ว่าตามเสี่ยวหลาน!”
“ไปกันเถอะ ลองชิมของใหม่”
น้าหวงจัดการได้ว่องไวทีเดียว
แต่ร้านจางจี้อาหารว่างอยู่ใกล้เซี่ยนอีจงมาสามปีแล้ว รสชาติกับชื่อเสียงย่อมซึมลึกลงจิตใจผู้คน
ธุรกิจของน้าหวงจึงยังไม่คึกคักในช่วงระยะเวลาแรก เซี่ยเสี่ยวหลานพานักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเข้าร้าน
กะพริบตาส่งให้น้าหวง น้าหวงรับรู้ทันทีและเสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเซี่ยเสี่ยวหลาน
“ข้าวราดคืออะไรกัน?”
“กลิ่นหอมดีนะ เป็นรสเนื้อวัว… ชุดละแค่ 6 เหมาเองหรือ?”
“เสี่ยวหลาน เธออยากกินรสอะไร?”
ต่างคนต่างสั่งอาหารในคราวเดียว
น้าหวงทำให้พวกเธอได้เรียนรู้ว่าอะไรคืออาหารจานด่วน ระหว่างกำลังต้มบะหมี่
ข้าวราดก็สามารถขึ้นโต๊ะได้แล้ว
ข้าวสวยที่คว่ำลงบนจาน น้ำแกงที่เข้มข้น
ชิ้นเนื้อสัตว์และผักเคียงรวมเข้าด้วยกัน ได้กลิ่นเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกหิวโหยมากขึ้น
ตอนแรกยังมีบางคนพูดคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าผ่านไปสักครู่ทุกคนล้วนก้มหน้ารับประทานกันหมด
‘ข้าวราดหน้า’ รสชาติอร่อยไม่เบานี่
จางจี้อาหารว่างเป็นธุรกิจผูกขาดของหน้าประตูเซี่ยนอีจงเสมอมา
จนกระทั่งวันขึ้นปีใหม่ ‘น้าหวงจานด่วน’ ได้เปิดกิจการฝั่งตรงข้าม จุดประทัดไปสองสามเส้น
จางชุ่ยพบว่าร้านตนเองมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นแล้ว เริ่มแรกน้าหวงพาคนมาทำความสะอาดร้าน
ฉาบผนังปูพื้น จางชุ่ยมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยเป็นมงคล ใช้เวลาเพียงสองสามวัน ‘น้าหวงจานด่วน’ ก็เริ่มเปิดกิจการ
รวดเร็วจนทำเอาจางชุ่ยและเซี่ยฉางเจิงตั้งรับไม่ทัน
ตกกลางคืนสองสามีภรรยาปรึกษาหารือกลยุทธ์กันก่อนนอน
เซี่ยหงเซี๋ยสังเกตพบความกังวลของทั้งสอง
ขณะทำงานในเวลากลางวันจึงตั้งอกตั้งใจไม่กล้าวิ่งวุ่นไปมาอย่างไร้สาระ
น้าหวงจานด่วนเปิดกิจการได้สองวัน สีหน้าของจางชุ่ยก็ผ่อนคลายขึ้นมาก
ขาย ‘ข้าวราดหน้า’ อะไรกัน
เหล่านักชิมไม่ค่อยรู้จัก นักเรียนอีจงและคนทำงานที่สัญจรผ่านไปมายังคงยินดีรับประทานอาหารที่จางจี้อยู่ดี
ธุรกิจของน้าหวงธรรมดามาก
ช่วงเช้าขายบะหมี่ กลางวันเป็นข้าวผัดและข้าวราด
ประเภทอาหารจำเจเกินไปแล้ว
ไม่เหมือนกับจางจี้ แค่อาหารเช้าก็มากมายหลากหลายประเภท ซาลาเปา หมั่นโถว
เกี๊ยวนึ่ง ขนมจีบ พวกนี้ล้วนเป็นอาหารพื้นฐาน ซุปเผ็ดก็มี บะหมี่เนื้อแพะก็ขาย
ดังนั้นในร้านจึงจำเป็นต้องจ้างคนงานหลายคน ปริมาณงานต่างๆ นานาจำนวนมาก
อาหารทุกอย่างต้องใช้แรงคนทำออกมา
ความเหนื่อยยากนั้นมีผลลัพธ์
ของกินร้านจางจี้ไม่ถือว่าโอชะเป็นพิเศษ ทว่าทุกรสชาติค่อนข้างสมดุลกัน
อย่างไรเสียบะหมี่ยามเช้ายังพอไหว พอถึงเวลาอาหารกลางวัน
น้าหวงก็จะเปิดฝาหม้อในร้าน รสชาติของเนื้อวัวเนื้อแพะช่างเข้มข้น
ดึงดูดคนส่วนหนึ่งเข้าร้านเธอเพื่อลิ้มลองความแปลกใหม่
เรียกได้ว่าชิงลูกค้าจำนวนหนึ่งของจางจี้ไปแล้ว
จางชุ่ยให้เซี่ยหงเซี๋ยคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้าม
วันนี้เซี่ยหงเซี๋ยกลับพบเซี่ยเสี่ยวหลานที่เธอเกลียดสุดใจ ถูกนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งจากเซี่ยนอีจงห้อมล้อมไว้ตรงกลาง
พากันเดินเข้า ‘น้าหวงจานด่วน’ ฝั่งตรงข้ามไป
“ป้าสะใภ้ ป้าดูสิ!”
เซี่ยหงเซี๋ยบุ้ยปาก ถนนหนึ่งเส้นก็กว้างเพียงสิบเมตร
สามารถมองเห็นสถานการณ์ในร้านของน้าหวงได้อย่างสบาย
เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งหันหน้าไปทิศทางเข้าสู่ถนน มิใช่ว่าจางชุ่ยก็มองเห็นได้หรือ?
ทุกวันนี้จางชุ่ยไร้วิธีจัดการเซี่ยเสี่ยวหลาน เข้าทางของอาจารย์ใหญ่ซุนก็ไม่ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนกับปลาหมูตัวหนึ่งที่จับเมื่อไรก็ลื่นหลุดมือ
จับจุดอ่อนของเธอไม่เจออยู่ร่ำไป จางชุ่ยไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมวิธีการประสิทธิภาพยอดเยี่ยมในวันวานกลายเป็นไร้ประโยชน์ทั้งหมด
อย่างไรเสียเธอและเซี่ยฉางเจิงยังไม่หาคำตอบ
อดทนรอเซี่ยจื่ออวี้กลับจากปิดภาคเรียนมาให้คำแนะนำ—คิดน่ะคิดเช่นนี้
ทว่าพอเห็นใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลาน เพราะเหตุใดจางชุ่ยถึงรู้สึกเกลียดชังขนาดนี้กันนะ!
พ
เชิงอรรถ
[1]如沐春风 ราวกับนั่งกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สวยงาม จิตใจเบิกบานไร้กังวล