ศึกเดือด มหากาฬ - บทที่ 448 ตระกูลหลิวแห่งเทียนฮั่น แก่มันก็แค่ตระกูลนอก
ท่านชายยี่เดินใกล้เข้ามาทีละเก้า จนฉินปิงหลันไม่มีที่ให้ถอยอีก
“คนสวย ยอมฉันเถอะนะ ฉันสามารถให้ทุกอย่างที่เธอต้องการได้”
“เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวของเธอ แม้แต่พระจันทร์ที่อยู่บนฟ้า ไม่ใช่ทั้งดวง แต่ว่าหาของที่มาจากที่นั่นมามอบให้เธอก็ยังได้”
ท่านชายยี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่ได้ล้อเล่น จากภูมิหลังและฐานะของเขา สามารถทำได้จริง ๆ เพราะถึงยังไงตระกูลของเขาก็ได้ครอบครองสถาบันวิจัยอยู่หลายแห่ง แม้แต่สถาบันวิจัยใหญ่ทั้งสี่แห่งของเมืองจิง มีอยู่หนึ่งแห่งที่อยู่ในการควบคุมของพวกเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่มีตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ในเมืองจิงในต้าถัง
และท่านชายยี่เชื่อว่า คำมั่นสัญญาเช่นนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถต้านทานได้ นอกจากจะเป็นผู้หญิงในไม่กี่ตระกูลเหล่านั้น และยังต้องเป็นสายตรงถึงจะได้
เพียงแต่ว่า ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือฉินปิงหลัน
“เมียของฉัน ฉันจะเป็นสอยดาวสอยเดือนมาให้เธอเอง ไม่ต้องใช้แกหรอก”
เสียงเย็นชาได้ดังลอยมา ท่านชายยี่ตัวแข็งทื่อเป็นหินไปในทันทีทันใด จากนั้นก็มองไปที่ด้านหลังอย่างเหลือเชื่อ และพูดไปออกไปชั่วขณะ
วินาทีนี้ ผู้ชายคนหนึ่งได้เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ”
ส่วนฉินปิงหลันดวงตาเป็นประกายขึ้นมา: “ที่รักคะ!”
ถูกต้อง เป็นเฉินอีนั่นเอง ในที่สุดเขาก็มา!
ฉินปิงหลันไม่สนใจอะไรคิดจะกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของเฉินอีในทันที ทว่าท่านชายยี่กลับได้ดึงเอาไว้ เขาใช้แรงไม่น้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก: “เธอเป็นผู้หญิงของฉัน นี่เธอคิดจะพลอดรักกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉัน เธอไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยงั้นเหรอ?”
ฉินปิงหลัน “???”
เฉินอี “???”
พวกเขาทั้งสองต่างมีสีหน้างุนงง
หมอนี้กำลังพูดอะไรของมัน กำลังทำอะไรที่ชาวโลกยากที่จะเข้าใจอยู่กันแน่เนี่ย?
เมื่อกี้มันบอกว่ายังไงนะ?
มันบอกว่าฉินปิงหลันเป็นผู้หญิงของมัน แล้วยังบอกว่าฉินปิงหลันพลอดรักกับเฉินอี เป็นการกระทำที่ไม่ละอายใจ!
“นั่นคือสามีของฉัน ไม่ว่าจะเป็นในนามหรือในความเป็นจริงก็เป็นผู้ชายที่เป็นสามีของฉัน ฉันอยู่กับสามีของฉัน มันมีปัญหาตรงไหนเหรอ?”
ฉินปิงหลันเองก็กล่าวอย่างเย็นชา แต่ไม่ว่าเธอจะขัดขืนยังไง ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการจองจำของท่านชายยี่ได้ เพราะถึงแม้ท่านชายยี่จะเป็นคุณชายเพลบอย แต่ก็เป็นคนที่พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง มีวิทยายุทธ์ที่สูงพอสมควร อย่างน้อยอยู่ในบรรดาปรมาจารย์ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงที่แท้จริง
“ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย เธอเป็นผู้หญิงของฉัน ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด อย่าคิดที่จะท้าทายกับความอดทนของฉันอีก”
น้ำเสียงของท่านชายยี่เยือกเย็นขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
เขาหมดความอดทนได้ง่ายมากจริง ๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่ฉินปิงหลันให้กับเขานั้นมีความพิเศษมากพอ เกรงว่าเขาคงจัดการผู้หญิงคนนี้ไปนานแล้ว
แต่ต่อให้พิเศษแค่ไหน ก็ไม่ใช่ต้นทุนที่จะสามารถท้าทายเขาได้ เพราะฉะนั้น เขาหวังว่าฉินปิงหลันจะฉลาดหน่อย ไม่อย่างนั้นตนก็คงต้องใช้ความรุนแรงกับดอกไม้ที่บอบบางนี้แล้ว
สำหรับเฉินอีนั่น
ท่านชายยี่ไม่ได้ชายตามองเลยสักนิด และกล่าวขึ้นมาโดยตรง: “ลงโทษตัวเองซะ นี่คือการผ่อนผันที่ฉันให้แกได้มากที่สุด”
เขาเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงส่งแต่ไหนแต่ไรมา อยู่ในโลกภายนอก เขามีการดำรงอยู่เหมือนอย่างท่านอ๋องผู้อิสรเสรี เฉินอีที่อยู่ตรงหน้าคนนี้นับเป็นตัวอะไรกัน
กล้ามีอดีตกับผู้หญิงของตัวเอง เป็นการรนหาที่ตายเองจริง ๆ ต่อให้มันไม่มา ตัวเองก็จะต้องไปหามันแน่
กล้าเคยแตะต้องผู้หญิงที่ตนถูกใจ แค่ประเด็นนี้หมอนี่ตายหมื่นครั้งก็ยังไม่อาจยกโทษให้ได้ หลังจากที่คิดมาถึงตรงนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็คิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผลไม่น้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนจำนวนมากยากที่จะรู้ได้ว่า ต่อมาไอ้หนุ่มที่บ้าคลั่งคนนี้ จะทำอะไรที่ทำให้ผู้คนยากที่จะเข้าใจออกมากันแน่
เพียงแต่ว่า ในสายตาของท่านชายยี่ ตนได้พูดถึงขนาดนี้แล้ว หมอนี่ก็ควรที่จะแสดงความหวาดกลัวออกมา จากนั้นก็คุกเข่าอ้อนวอนให้ตนยกโทษให้
ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ยกโทษให้มันก็ตาม ฮ่า ๆ ๆ !
แต่ทว่า!
“แก่ไม่เคารพภรรยาของฉัน กลับคิดว่าคนที่เป็นสามีอย่างฉันมีความผิด สมองของแกนี่มีปัญหาจริง ๆ”
เฉินอีชายตามองหมอนั่นแวบหนึ่ง และเก็บสายตากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
ก็แค่คนสติไม่ดีคนหนึ่ง เขาไม่สนใจหรอกนักหรอก
ถึงยังไงเฉินอีก็ฝ่าฟันอันตรายมานานหลายปี เคยเจอคนบ้ามามากเท่าไหร่แล้ว ในหมู่คนบ้าคลั่งพวกนั้นหมอนี้ไม่นับอะไรเลยสักนิด
จะต้องรู้ว่า คนบ้าบางคนนั้นน่ากลัวถึงขีดสุด ไอคิวสูงมาก วิทยายุทธ์ก็ล้ำเลิศ คนพวกนั้นถึงขนาดที่คิดจะทำลายโลก แต่สุดท้ายก็ยังคงถูกตัวเองควบคุมเอาไว้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นถึงได้บอกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ไม่นับอะไรเลยจริง ๆ
“ทางที่ดีแกปล่อยภรรยาของฉันซะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่เรื่องแกปล่อยหรือไม่ปล่อยฉันไปแล้ว แต่กลายเป็นฉันจะยอมยกโทษให้แกไหมแทน”
เฉินอีเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ ในคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความองอาจ เมื่อท่านชายยี่ได้ฟังดังนั้นก็ชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา
“แกเป็นวัวเป็นม้าที่โผล่หัวมาจากที่ไหนกัน ถึงได้กล้าพูดกับฉันแบบนี้ แกคงจะไม่รู้สถานะที่แท้จริงของฉันสินะ ฉันจะบอกแกให้ ฉันคือ……”
“หลิวยี่เหรอ? ฉันรู้ คนตระกูลหลิวแห่งเทียนฮั่น และเป็นทายาทของราชวงศ์โบราณที่มีเพียงอยู่น้อยนิด แต่แกและพี่ชายของแก เหมือนว่าอย่างมากก็นับเป็นเพียงตระกูลนอกเท่านั้น แน่นอน สายตรงนั้นก็ได้สูญสิ้นไม่เหลือเลยไปนานแล้ว ตระกูลนอกออกมาสร้างปัญหา อืม ก็นับว่าอยู่ในเหตุในผล
แน่นอนว่าเฉินอีรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ชายสติไม่ดีคนนี้
ส่วนท่านชายยี่นั้นก็ได้อ้าปากเล็กน้อย
เดิมที่เขาคิดจะคุยโวโอ้อวดเสียหน่อย สุดท้ายกลับถูกขัดจังหวะไปอย่างไม่ไว้หน้าแบบนี้ มันทำให้คนรู้สึกไม่พอใจจริง ๆ คราวนี้ เขาก็ได้จ้องเฉินอีตาเขม็ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น: “ในเมื่อแกรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉันแล้ว งั้นแกก็ควรที่จะคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เชือดตัวเองเพื่อไถ่โทษ……”
“สถานะของแก จะนับอะไรได้?”
เฉินอีหัวเราะเยาะ
“ราชวงศ์เทียนฮั่นร้ายกาจก็จริง แต่ว่าพวกแกก็แค่ตระกูลนอกของตระกูลนอก กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ก็แค่ตอนสองพันปีให้หลังนี่แหละ แต่จะต้องรู้ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อสองพันปีที่แล้ว ตระกูลหลิวแห่งเทียนฮั่นในตอนนั้นไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟัง ทว่าในตอนนี้ ก็เพียงแค่นั้นเอง”
เฉินอีหัวเราะเย้ยหยัน
เฉินอีเคยได้เผชิญหน้ากับคนของตระกูลหลิวแห่งเทียนฮั่นมากมาย และมีไม่น้อยที่ได้อุทิศตนรับใช้สำนักมังกรลับ ต่อให้ไม่ใช่ตระกูลหลิวแห่งเทียนฮั่นสายตรง แต่ถ้าพูดถึงสายเลือดนั้นสูงส่งกว่าไอ้คนที่อยู่ตรงหน้านี้อีกมาก
หมอนี่จะนับอะไรกัน
ก็แค่อาศัยโอกาสบางอย่างที่ได้พบเจอในเมื่อไม่หลายปีมานี้ และบวกกับชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งเทียนฮั่นถึงได้พัฒนามาถึงขั้นนี้ได้ แต่ถ้าหากตัดพวกนี้ออกไป หมอนี่ไม่นับเป็นอะไรเลยสักนิด
ยังจะกล้าให้ตัวเองคุกเข่าเชือดตัวเองเพื่อไถ่โทษอีก?
แถมยังกล้ารังแกภรรยาของตัวเอง?
เป็นการรนหาที่ตายจริง ๆ !
เฉินอีไม่พูดอะไรอีก เขาตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ จะต้องทำให้หมอนี่รู้ว่าอะไรคือเสียใจภายหลัง!