ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 36 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (36)
เมื่อได้ยินคำพูดของสวีเช่อ ซูหว่านก็นิ่งลง ไป๋เย่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ตอนนี้เขาเหมือนได้สติ “นายน้อย ท่านวางใจ ข้าจะระมัดระวังในการทำ ต่อให้ตัวข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”
“ไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋เย่ เซวียนหยวนสือก็ยังมองด้วยสายตาเย็นชา “พี่ใหญ่ไป๋เย่ วิธีของท่านมันอันตรายเกินไป หากว่าท่านจะต้องทำเช่นนี้จริงๆ ก็ให้ข้าทำกับพวกท่านด้วยเถอะ”
ในระหว่างที่พูด ผมสีดำของเซวียนหยวนสือก็พลิ้วไสวขึ้นมา เริ่มมีแสงสว่างนับไม่ถ้วนรายล้อมอยู่รอบตัวนาง และในเวลานี้เองเวลาก็เหมือนเดินช้าลงเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซูหว่านสามารถมองเห็นเส้นผมแต่ละเส้นของนางที่กำลังพลิ้วไหวลอยอยู่ในอากาศ
นี่คือ…
กฎแห่งกาลเวลา!
เสี่ยวสือ! สายตามองไปที่เซวียนหยวนสือ นึกไม่ถึงว่านางจะไม่คิดหน้าไม่คิดหลังเปิดใช้กฎแห่งกาลเวลาของตัวนางเอง ไป๋เย่ก็ไม่รอช้า อาศัยโอกาสที่เวลาไหลไปช้าๆ นี้ ร่ายอาคมของตนเองได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่เวลากำลังยืดยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดนี้ ไป๋เย่ก็ดึงวิญญาณของสวีเช่อออกมาอย่างแม่นยำ และกลั่นเป็นหยดเลือดพิสุทธิ์สามหยด
ซูหว่านรู้สึกเหมือนว่าตนเองเหมือนใช้ชีวิตไปแล้วหนึ่งศตวรรษ แต่ที่จริงแล้วเพียงผ่านไปแค่สามลมหายใจเท่านั้นเอง!
เวลาสามลมหายใจ ไป๋เย่ก็สามารถร่ายอาคมตนเองจนเสร็จ และสวีเช่อก็ปลอดภัย เซวียนหยวนสือที่อยู่ด้านข้างจากผมสีเงาดำได้เปลี่ยนเป็นสีเงินขาวราวหิมะ
ภายใต้ผมสีเงิน สีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยของสาวน้อยผู้เย็นชา ยังมีเลือดอยู่ตรงมุมปาก
“เสี่ยวสือ”
ไป๋เย่เปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรออกมา แต่เซวียนหยวนสือกลับโบกมือไปมาพูดว่า “ไม่ต้องสนใจข้า ข้าไม่เป็นไร พี่ใหญ่ไป๋เย่ท่านรีบปลดผนึกเถอะ!”
เมื่อมองไปยังร่างอ่อนแอของเซวียนหยวนสือ แววตาของไป๋เย่ฉายแววซับซ้อน เพียงหมุนตัวไปก็รวมเอาเลือดพิสุทธิ์ของสวีเช่อหยดลงที่ประตูหินข้างหน้า
ครั้งนี้ ประตูหินทั้งบานพลันเคลื่อนไหว การสั่นสะเทือนใต้เท้าทำให้ทั้งสี่คนไม่สามารถยืนตัวตรงได้ เซวียนหยวนสือที่อ่อนแรงอยู่ด้านข้างก็ล้มลงไปกับพื้น
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
สวีเช่อวิ่งไปอุ้มร่างกายที่อ่อนแอของนาง และมองไปยังสีหน้าซีดเซียวของหญิงสาว แววตาสวีเช่อจับจ้อง “เจ้าทำเช่นนี้ทำไม”
เรื่องที่เสียสละเช่นนี้ ถึงแม้สวีเช่อจะผ่านห้วงมิติมามากมาย ถึงแม้จะเคยพบเจอมาแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้
เขากับเซวียนหยวนสือพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง เหตุใดนางถึงต้องช่วยเขาด้วย
แค่เพียงเพื่อที่จะแสดงความซื่อสัตย์ต่อเลี่ยเหยียนเซียนจวินอย่างนั้นหรือ
เวลานี้ เมื่อได้ยินคำพูดของสวีเช่อ เซวียนหยวนสือก็ยิ้มออกมา “นายน้อย ข้ารอท่านมาห้าพันปีแล้ว จากนี้ ไม่ว่าท่านอยู่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่น นอกจาก…ข้าตาย”
คนบางคนเกิดมาก็เป็นคนดื้อดึง เซวียนหยวนสือก็เป็นเพียงหญิงสาวที่ดื้อดึงเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สวีเช่อก็หลุบตาลงพูดว่า “ข้าไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก ข้าไม่คุ้มค่าให้ใครมาทุ่มเทด้วย เพราะว่า ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างไร”
“ไม่ นายรู้”
มีเสียงกระซิบเบาๆ จากซูหว่านดังมาจากข้างหลัง “สวีเช่อ นายมีหัวใจ นายเข้าใจ”
ถึงแม้ว่าซูหว่านจะเชื่อข่าวลือในสำนักงานใหญ่อยู่บ้าง คิดว่าสวีเช่อเป็นคนไม่มีหัวใจ แต่เมื่อรู้ว่าผีชราก็คือสวีเช่อ นางก็รู้ทันทีว่าสวีเช่อก็เป็นคนที่มีความรู้สึกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ปรากฏตัวในโลกนั้นหรอก และยิ่งไม่มีวันมาช่วยตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น เขาควรจะมีหัวใจ แต่หัวใจของเขา…
“นายมีหัวใจ แต่ตัวนายไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะว่าความรู้สึกและความปรารถนาของนายถูกปิดผนึกไว้”
ประตูหินถูกเปิดออก ควันกระจายออกไป มีเงาร่างหนึ่งที่สวมชุดสีแดงลอยมาอยู่ตรงหน้าของทั้งสี่คน
ชายผู้หนึ่งที่มีรูปโฉมทั้งอบอุ่นและสง่างาม เหมือนกับเซียนที่ออกมาจากภาพวาด เขายิ้มน้อยๆ ราวกับข้ามกาลเวลามา ใต้เท้ายังมีดอกบัวสีแดงอัคคีนับไม่ถ้วน มีเสน่ห์ร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบมิได้
มีทั้งความอ่อนโยนและดุร้าย นี่ก็คือ เลี่ยเหยียนเซียนจวิน!
“นายท่าน!”
เมื่อเห็นร่างเลี่ยเหยียนเซียนจวิน ไป๋เย่รีบคุกเข่าในทันที ส่วนเซวียนหยวนสือที่อยู่อ้อมกอดของสวีเช่อก็ทุลักทุเลเกินกว่าที่จะทำความเคารพ
เลี่ยเหยียนเซียนจวินหัวเราะ แล้วยกมือขึ้นเบาๆ นำร่างอ่อนแอของเซวียนหยวนสือมาอยู่ตรงหน้าตนเอง
“เสี่ยวสือ เจ้าเป็นเด็กที่คอยทำให้คนเป็นห่วงเสมอ”
เลี่ยเหยียนเซียนจวินยกมือที่ทั้งยาวและทรงพลังไล้เบาๆ ไปที่ผมยาวๆ ของเซวียนหยวนสือ จากนั้นผมของนางจากที่มีสีเงินขาวก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำเงาดุจหมึก
การกระทำนี้ ทำให้ซูหว่านและสวีเช่อที่อยู่ด้านข้างต่างอดที่จะมองไม่ได้
นี่ไม่ใช่อาคม นี่คือกฎเกณฑ์
กฎแห่งการย้อนเวลา! นี่คือหนึ่งในกฎแห่งกาลเวลาที่หาได้ยากที่สุดและสุดยอดที่สุด
เมื่อละมือจากผมของเซวียนหยวนสือ สายตาของเลี่ยเหยียนก็มองมายังร่างของสวีเช่อ
“เช่อเอ๋อร์”
ขณะเรียกชื่อบุตรชายของตนเอง น้ำเสียงของเลี่ยเหยียนไม่ได้อ่อนโยนนัก แต่กลับมีความเย็นชาอยู่บ้าง “ใครเป็นผู้ผนึกหัวใจเจ้า ใช่ชีเย่ว์หรือเปล่า”
ชีเย่ว์?
เมื่อได้ยินคำพูดของเลี่ยเหยียน สวีเช่อก็กะพริบตา ในใจเกิดความสงสัย “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
“หือ?”
เมื่อรับรู้ถึงความเย็นชาที่สวีเช่อมีต่อตน เลี่ยเหยียนหรี่ตาลง และวินาทีต่อมาแววตาของเขากลับวาวโรจน์และดุดัน แล้วจ้องไปยังซูหว่านที่อยู่ด้านหลังสวีเช่อ
“เป็นกลิ่นอายของชิ่นเอ๋อร์ ปีศาจน้อย เหตุใดบนตัวเจ้าถึงมีกลิ่นอายของอาชิ่น”
แววตาของเลี่ยนเหยียนที่จ้องมาคมเหมือนดาบ ราวกับว่าจะแทงลงบนร่างของซูหว่านได้ทุกเมื่อ
“นี่…”
ซูหว่านยกแขนของตนเองขึ้นมาช้าๆ เผยให้เห็นสร้อยข้อมือสีทอง “เซียนจวิน ท่านพูดถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
นี่เป็นสร้อยข้อมือของสวีชิ่น!
เลี่ยเหยียนเซียนจวินเพียงโบกมือ สร้อยข้อมือที่ตามติดซูหว่านไปไม่ว่ากี่โลกไม่สามารถถอดออกมาได้นั้น ก็ได้หลุดไปจากมือของตนเองไปด้วยตัวของมันเอง และกลับไปยังในมือของเลี่ยเหยียนเซียนจวิน
สัมผัสถึงกลิ่นอายของคนรักจากสร้อยข้อมือ สายตาของเลี่ยเหยี่ยนเซียนจวินเปลี่ยนเป็นซับซ้อนและอาดูร “เช่อเอ๋อร์ มารดาเจ้าละ เหตุใดสมบัติวิเศษของนางจึงตกอยู่ในมือของคนอื่นได้”
สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นของต่างหน้าที่เลี่ยเหยียนมอบให้กับสวีชิ่นเมื่อปีนั้น เขาไม่เชื่อว่าคนรักของตนจะเอาไปให้คนอื่นได้อย่างง่ายดาย
“หลังจากที่ท่านแม่ให้กำเนิดข้า ไม่นานนักท่านก็เสียชีวิต กำไลเส้นนี้ข้าเป็นคนมอบให้กับซูหว่าน!”
เมื่อได้ยินคำถามของเลี่ยเหยียน สวีเช่อก็ตอบเสียงนิ่งๆ
สวีชิ่นตายแล้วหรือ
เลี่ยเหยียนเซียนจวินนิ่งอยู่กับที่สักพัก และเวลานี้ เงาร่างสีแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคนอีกครั้ง นี่เป็นร่างของหญิงสาวรูปโฉมสง่างามและอ่อนโยน ราวกับว่านางได้ยินคำพูดของสวีเช่อ คนทั้งคนก็เปลี่ยนเป็นความเสียใจเหลือคณา “พี่ชิ่นเอ๋อร์ตายแล้วหรือ นี่…นี่เป็นไปได้เยี่ยงไร”
“หงอวี้!”
เมื่อเห็นภรรยาของตนเองปรากฏ ไป๋เย่ก็รีบพุ่งเข้าหาในทันที และโอบกอดคนรักอย่างแนบแน่น
“ไป๋เย่”
เมื่อสัมผัสถึงน้ำตาอุ่นๆ ของบุรุษ เสียงของหงอวี้ก็สะอึกขึ้น “ไป๋เย่ ไป๋เย่ เจ้าสบายดีไหม พวกเรา ลูกของพวกเรา นางสบายดีไหม”
“ข้าสบายดีมาก ดอกเหมยน้อยก็สบายดีมากเช่นกัน”
ไป๋เย่สะอึกสะอื้นพูดเบาๆ พูดไปพลางและกอดคนรักแน่นไปพลาง
ห้าพันปีแล้ว เขารอวันนี้มานานมาก สุดท้ายก็มาถึงวันนี้
“หงอวี้ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว! ห้าพันปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ไป๋เย่เอ่ยถามคำถามที่ซุกซ่อนอยู่ในใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว คำถามนี้อยู่ในใจเขามาห้าพันปี
ปีนั้น…
สายตาของหงอวี้เปลี่ยนเป็นความซับซ้อนเล็กน้อยและพูดว่า “ปีนั้น พี่ชิ่นเอ๋อร์กำลังจะให้กำเนิด…”
จากนั้นน้ำเสียงหงอวี้ก็กดต่ำลง เริ่มเล่าเรื่องห้าพันปีก่อน ความจริงของห้าพันปีก่อน ค่อยๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุกคน