Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 301
ตอนที่ 301 ลางสังหรณ์
ทั้งสองจูบกันอยู่นานพอสมควร แต่มันก็ไม่ได้เร่าร้อนหรือรุนแรงอะไรนัก
วาห์นกับซีลเพียงแก่กอดกันหลวมๆ โดยที่ไม่มีใครคิดจะทําอะไรเพิ่มเติม
วาห์นอาจรู้สึกถึงไออุ่นจากร่างของอีกฝ่าย แต่ซีลนั้นได้รับความร้อนของวาห์นเข้าไปเต็มๆซึ่งมันมากพอที่จะขจัดอากาศหนาวออกไปได้เกือบหมด นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สําหรับเธอ
หลังจากที่ริมฝีปากแยกออกจากกัน ซีลก็พูดพร้อมรอยยิ้มมีความสุข
“รู้หรือเปล่าว่านั่นคือจูบแรกของฉันเลย
แบบนี้คนที่ได้มันไปจะดีใจบ้างหรือเปล่านะ?”
วาห์นยิ้มอ่อนขณะโคลงร่างของเธอไปมา
“อืมมม ดีใจสิ… ดีใจจนรู้สึกว่าไม่น่าปล่อยให้รอนานแบบนี้เลย
ขอบใจนะ ซีล…”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก และวาห์นนั้นเห็นชัดเจนเลยว่าออร่าสีชมพูกําลังพองโตกว่าเดิมขณะที่เจ้าตัวเอนเข้ามาพึ่งร่างของเขา
“ถ้าดีใจขนาดนั้น… งั้นเรามาทําอย่างอื่นกันต่อไหม…?”
ซีลใช้สองมือลูบตามแผ่นหลังของวาห์นก่อนจะลากพวกมันให้มาบรรจบกันที่แผงอกกํายําดูก็รู้แล้วว่าเธอไม่เคยทําอะไรแบบนี้มาก่อน
วาห์นเห็นว่าใบหน้างามดูแดงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นเพราะ เครื่องติด” แต่น่าจะเกิดจากการที่เธอรู้สึกเขินตัวเองสุดๆ
เขาเข้าไปจับมือที่ซุกซนนั่นพร้อมกับส่ายหน้าแบบยิ้มๆ
“ขอโทษนะซีล ฉันต้องกลับคฤหาสน์แล้วล่ะ
เพราะเรื่องที่อิชทาร์เพิ่งกลับสวรรค์ไป ช่วงนี้ฉันก็เลยมีหลายๆ อย่างที่ต้องดูแลนะ
คิดว่าเธอน่าจะรู้รายละเอียดดีอยู่แล้วนะ…”
ซีลถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบรับ
“อื้ม ฉันรู้เรื่องที่เฟรย่าออกมาเคลื่อนไหวแล้ว… วาห์น นายต้องระวังเธอให้มากๆ นะ
เฟรย่าเป็นพวกที่ชักใยคนอื่นได้เก่งมาก ถ้าเธอควบคุมนายได้ล่ะก็…”
ขณะพูด วาห์นก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอกําลังสั่นเบาๆ ทั้งที่อากาศตรงนี้ก็ไม่ได้หนาว
พอรู้ซึ้งถึง ความหวาดกลัว” ของอีกฝ่าย วาห์นก็เลยย่อตัวลงมานาบศีรษะด้วยก่อนจะกระชับอ้อมกอด
“ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก… เรื่องเฟรย่าฉันพอมีวิธีอยู่
อีกอย่าง ฉันเชื่อว่างานนี้โลกกับเฮเฟสตัสคงจะออกหน้าให้ก่อน… เธอแค่คอยดูแลทุกคนที่นี่ให้ปลอดภัยก็พอแล้ว”
ซีลหลับตาพริ้มก่อนจะเปิดมันเมื่อวาห์นพูดจบ ดูเหมือนว่าเธอจะดูมั่นใจกว่าเดิมมาก
“ฉันจะไม่ยอมให้เฟรย่าทําลายความสุขอีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด…”
จากนั้นวาห์นก็กอดซีลต่อไปอีกหน่อย.. จนกระทั่งตรวจจับได้ว่ากําลังมีคนแอบมองมาทางนี้
ซีลเห็นสีหน้าของเขาแวบเดียวก็เข้าใจทันที
“ต้องเป็นโคลอี้แน่ๆ… หรือว่าริวนะ ?”
เธอหันไปทางหน้าต่างโดยไม่รอฟังคําตอบจากวาห์น และไม่นานก็มีเงาของมือๆ หนึ่งออกมาโบกมือให้
นั่นอาจจะเป็นเบาะแสที่ดูยากมาก แต่ซีลก็รู้ทันทีว่าเป็นโคลอี้แน่นอน
และเพราะตัวเองกับโคลอี้นั้นมี “สายสัมพันธ์ ระหว่างกันอยู่ วาห์นจึงรู้ว่าซีลเดาได้ถูกเผงเลย
ผู้หญิงคนนี้เข้าใจทุกคนในร้านเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความคิด การตัดสินใจ หรือแม้แต่อุปนิสัยส่วนตัวเรียกได้ว่ารู้มากจนน่ากลัว
ไม่นานหน้าต่างก็ถูกแง้มออกนิดๆ และเผยให้เห็นใบหน้ากวนๆ ของโคลอี้ที่ยังยิ้มไม่เลิก
วาห์นเอียงหัวด้วยความสงสัยซึ่งก็ทําให้โคลอี้เปิดมันออกจนหมด เขาจึงได้เห็นเธอในสภาพชุดชั้นในที่ตัวเองเคยให้เป็น “ของขวัญ” ในอดีต
นอกจากนั้นตรงท่อนบนยังเป็นเสื้อแบบที่เขาใส่ประจําด้วย… แต่เสื้อนี่ไม่เคยให้นี่หว่า? เธอไม่เอามาจากไหนกัน?
เสียงหัวเราะของซีลเริ่มดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“สงสัยฉันคงกักตัวนายนานเกินไปแล้วล่ะ ไว้เจอกันใหม่นะวาห์น
ต่อไปหวังว่านายจะแวะมาทานข้าวที่นี่บ่อยขึ้น…”
พูดพบซีลก็หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาจูบลาก่อนจะหันไปขยิบตาใส่โคลอี้
จากนั้นเธอก็เดินหายเข้าไปในหอพักหญิง ทิ้งให้วาห์นอยู่ตรงนั้นกับโคลอี้ที่โผล่ออกมาจากหน้าต่างชั้นบน
แม้จะอยู่ไกลมากจนไม่ได้ยินเสียง แต่เขาก็เห็นว่าเธอกําลังหัวเราะร่า
ไม่นานหญิงสาวก็โบกมือให้และหายเขาไปในหอพักเช่นกัน
ขณะที่เธอหันหลังกลับไปนั้น วาห์นก็เห็นบั้นท้ายแสนน่ารักที่ประดับไปด้วยริบบิ้นสีน้ําเงินรอบโคนหาง
เขาอมยิ้มพลางนึกเล่นๆ ว่าจะเป็นยังไงนะ ถ้าหากตอบรับข้อเสนอของซีล
เพราะทุกคนก็นอนอยู่ตึกเดียวกัน วาห์นเลยนึกภาพที่ตัวเองได้เข้าไป “เที่ยว” ในนั้น…
หลังจากผ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา เขาก็ส่ายหัวก่อนจะหายไปจากตรงนั้นด้วย [เคลื่อนย้ายในพริบตา]
ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ วาห์นตัดสินใจที่จะสงบตัวเองลงด้วยการเดินเล่นนิดหน่อย
นี่เป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจ แต่โดยรวมแล้วมันก็ทําให้เขาโล่งใจมาก
วาห์นรู้สึกว่าความชั่งใจของตัวเองค่อยๆ คลายออก ทําให้ความรู้สึกอยากตามใจตัวเองเริ่มเข้ามาแทนที่
สนับสนุนผลงานอย่างถูกต้องได้ที่ MyNovel และ Thai-Novel
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาต้องลงมา สงบตัวเอง ก่อน เพราะกลัวว่ากลับไปแล้วจะชวนเฮสเทียทําอะไรแปลกๆ
ถึงจะเริ่มนอนแยกห้องกันแล้ว แต่ก็มีหลายคืนที่ทั้งสองไปมาหาสู่และทํากิจกรรมร่วมกัน
ตอนนี้ในหัวของวาห์นเริ่มเกิดความคิดแปลกๆ และผู้หญิงในคฤหาสน์ที่พอจะตอบสนองมันได้ก็มีแค่เฮสเทียกับอาคิเท่านั้น
ถ้าเขาเอ่ยปากขอละก็ รับรองว่าอาคิคงไม่ปฏิเสธแน่นอน
ได้เล่นพร้อมกันมันอาจจะสนุกก็ได้นะ…
เพราะอาคิเคยเป็นคู่นอนของโลก วาห์นเลยคิดว่าเธอน่าจะเชี่ยวชาญเรื่องนี้ดี แต่ปัญหามันอยู่ที่ตัวเขาเองนี่ แหละ
ถ้าเธอเป็นฝ่ายล้ําเส้นเอง วาห์นก็จะเลิกคิดมากและตามน้ําทันที แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากพบกับราอูลสักครั้งก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
จู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งก็แล่นเข้ามาจนวาห์นต้องหันหัวไปทางหอคอยบาเบลที่อยู่ใจกลางเมือง
“มีใครบางบนกําลังจับตามองมาจากทางนั้น” นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกได้ลางๆ
เขาพยายามกระจายพลังเขตแดนออกพร้อมกับสอบถามพี่สาวไปด้วย แต่คําตอบที่ได้ก็คืออยู่นอกระยะเขตแดน
วาห์นรู้มาจากในมังงะว่าเฟรย่านั้นมักจะใช้กระจกเพื่อส่องดูความก้าวหน้าของเบลล์ แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากระจกนั่นมีพลังมากน้อยแค่ไหน
พอรู้ว่าเธอคนนั้น อาจจะกําลังจับตามองมาทางนี้ วาห์นก็เลยรู้สึกกริ่งเกรงอยากบอกไม่ถูก
เขาอยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดทําอะไรที่รุนแรงเกินไปนัก แค่ภาพที่เบลล์โดนซิลเวอร์แบ็คไล่ล่าก็ผุดขึ้นมาพอดี…
ไม่รู้ว่ากระจกจะจับเสียงได้ด้วยหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ขอทําอะไรเพื่อไว้หน่อยละกัน
“ถ้าคิดจะทําร้ายคนอื่นๆล่ะก็… ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเธอเด็ดขาด
ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรหรือต่อให้ถูกขับไล่ออกจากเมือง ฉันก็จะตามไปแก้แค้นเธอแน่นอน”
ภายในห้องที่มีแสงไฟสลัว เฟรย่ากําลังนั่งอยู่บน “บัลลังก์ ขณะจิบไวน์และส่องลูกแก้วในมือไปด้วยไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือกระจกส่องรุ่นมินิที่มีคุณสมบัติคล้ายกระจกบานใหญ่นั่นเอง
หลังจากประชุมกับโอรานอสเสร็จ เฟรย่าก็ตรงดิ่งกลับมาที่ห้องและเริ่มนั่งส่องมันทันที
เทพอาวุโสนั่นกล่าวหาเธอเสียยกใหญ่ว่าแอบไปช่วยกลุ่มพันธมิตร ส่วนตัวเธอก็ไม่ได้ปัดป้องอะไรทั้งสิ้นและปล่อยให้ข่าวลือนั่นแพร่กระขายออกไปเอง
เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งกับวาห์นโดยตรง แบบนี้ก็ถือว่าเธอไม่ได้ละเมิดพิธีสาบานแล้ว
ตอนนี้ก็ถึงเวลานั่งกระดิกขาและรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมาบ้าง
ถึงลูกแก้วจะจับเสียงไม่ได้ แต่เฟรย่าก็อ่านปากของวาห์นออกและเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายกําลังพูดกับเธอโดยตรง
รอยยิ้มหลงใหลปรากฏขึ้นบนใบหน้างามพร้อมกับที่เธอจิบไวน์เบาๆ
“นี่ห่วงเด็กน้อยพวกนั้นมากเลยเหรอ… รู้สึกอิจฉาหน่อยๆ เลยแฮะ
ถ้ายอมมาเป็นของฉันแต่โดยดี เรื่องก็คงไม่ยากเย็นแบบนี้หรอกนะ…”
พูดจบเฟรย่าก็เขย่าแก้วในมือเล่นขณะทําหน้าครุ่นคิด
เรื่องอิชทาร์น่ะเธอแทบไม่สนใจเลย จะกล่าวหาหรืออะไรก็ช่างเถอะ ไม่แคร์แล้ว
แต่ปัญหาชิ้นใหญ่ที่สุดก็คือกลุ่มพันธมิตรนี่แหละ
ทางนั้นพยายามซักไซ่อย่างหนักเพราะต้องการรู้ให้ได้ว่าเธอทําไปเพื่ออะไร แต่คําตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมทุกครั้งเพราะเธออยากทําเฉยๆ
อีกไม่นานเธอก็คงต้องออกไป “เจรจาด้วยตัวเอง นี่แหละคือสิ่งที่เฟรย่าพคิดมาเกือบตลอดทั้งวัน
แผนแบบตรงๆ ก็คือกําจัดพวกที่มาเกาะแกะวาห์นออกให้หมด จากนั้นก็ทําให้เขากลายมาเป็นของตัวเอง
แต่พอเอาเข้าจริงๆ เฟรย่ากลับรู้สึกลังเลที่จะทําแบบนั้น
จนกว่าจะมีข้อมูลของวาห์นมากกว่านี้ เธอจะไม่ปักใจเชื่อเด็ดขาดว่ามนตร์เสน่ห์จะใช้ได้ผลกับอีกฝ่าย
เฟลย่าเห็นตอนที่วาห์นอยู่กับซีลแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับผลจากมนตร์เสน่ห์ของเด็กคนนั้นเลยสักนิด
แน่นอนว่ามนตร์เสน่ห์ของเฟรย่าย่อมรุนแรงกว่าของซีลหลายต่อหลายเท่า แต่เธอจะมั่นใจได้อย่างไร?
ถ้าหากวางแผนผิดพลาดและต้องกลายมาเป็นศัตรูกัน เฟรย่าเกรงว่าสุดท้ายเธออาจต้องเป็นฝ่ายสังหารวาห์นแทน
ความคิดที่ว่าอีกฝ่ายจะตามมาแก้แค้นจนสําเร็จนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเธอแม้แต่น้อย
เฟรย่าจ้องมองวาห์นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตอนที่เขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์
ข่ายเวทมนตร์ของคฤหาสน์นี่มันช่างน่ารําคาญซะจริง แต่เธอก็ยังคงจ้องมองต่อเพื่อหาลู่ทางในอนาคต
จากข้อมูลที่ได้ เฟรย่ารู้ว่าคนที่อยู่ที่นั่น ณ ตอนนี้ก็มีแค่วาห์น มนุษย์แมวเลเวล 4 หนึ่งคน แล้วก็เฮสเทียที่เพิ่งลงมาจากสวรรค์ได้ไม่นาน
แม้จะไม่เคยเห็นปฏิสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่เฟรย่าก็ปักใจเชื่อว่าวาห์นกับอาคิต้องมีอะไรกันแน่นอน
อาคินั้นไม่ใช่นักผจญภัยหน้าใหม่ เป็นไปได้ว่าเธอคือ “สายสืบ” ที่โลกส่งมาดูแลเฮสเทียแฟมิเลียอีกต่อ
หลังจากถอนจากใจยาวๆ เฟรย่าก็กระดกไวน์ที่เหลือเข้าปากก่อนจะลุกขึ้นจากบัลลังงก์
เธอไม่เคยเจอกับอุปสรรคที่ “ใหญ่” แบบนี้มาก่อน แต่นั่นก็ยิ่งทําให้ทุกอย่างดูน่าสนใจมากขึ้น
อยากรู้เหมือนกันว่าเฮเฟสตัสกับโลกจะกล้าลงทุนกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะสงครามระหว่างแฟมิเลียอันดับต้นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครนึกอยากจะเริ่มก็เริ่มได้
เฟรย่าได้ซ่องสุมกําลังมาช้านานแล้ว เธอเชื่อว่าแฟมิเลียของตัวเองสามารถเอาชนะกลุ่มพันธมิตรได้แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่เธอไม่อยากจะจ่าย
นอกจากมันจะทําให้แผนอื่นๆ ล่าช้ไปด้วยแล้ว การเสียเฮเฟสตัสและโลกแฟมิเลียไปจะทําให้เศรษฐกิจ ของเมืองและการสํารวจดันเจี้ยนหยุดชะงัก
หากปราศจากกองกําลังของโลก เฟรย่าแฟมิเลียก็คงต้องออกหน้าและผันตัวมาเป็นกำลังหลักในการสํารวจดันเจี้ยนแทน
การส่งเด็กๆ ของตัวเองลงดันเจี้ยนนานๆ เพื่อทําประโยชน์ให้กับโอรานอสนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากทําเท่าไหร่นัก
เฟรย่าค่อยๆ คลานขึ้นเตียงที่ทําจากไหมชั้นหนึ่งของโลกมนุษย์ ราคาผ้าปูเตียงของเธอแค่ผืนเดียวก็ปาเข้าไป 3,000,000 วาลิสแล้ว
เธอถือลูกแก้วติดมือมาด้วย และตอนนี้มันก็กําลังถูกกอดอยู่ท่ามกลางทรวงอกคู่งาม
พอนอนจนได้ที่ดีแล้ว เฟรย่าจึงหันไปสั่งการกับร่างยักษ์ที่อยู่ใต้เงามืด
“คืนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว… ไปบอกยัยจอมจุ้นนั่นว่าฉันยอมเจรจาด้วย”
หลังจากได้ยินเสียงตอบรับเบาๆ เฟรย่าก็เห็นร่างของออตตาร์ที่กําลังเดินออกจากห้องไป
นอกจากจะเป็นคนที่เธอโปรดปรานที่สุดแล้ว หากนับแค่บนโลกมนุษย์ ออตตาร์ยังเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เธอเคยเจออีกด้วย
แต่ไม่ว่าชายหนุ่มจะเก่งกาจสักแค่ไหน สัญชาตญาณของเธอก็ยังร้องบอกซ้ําๆ ว่าวาห์นนั้นมีศักยภาพมากกว่า
เธอเฝ้าตามดูความรุ่งโรจน์ของวาห์นมาตลอด นั่นรวมถึงวิชาและสกิลมากมายที่เขาแสดงออกมาด้วยเรียกได้ว่าเกือบทุกอย่างล้วนสร้างความประหลาดใจให้กับเธอ
นับเป็นครั้งแรกเลยที่เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่าย “ล็ก” แค่ไหน
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ออตตาร์นั้นเหมือนกับเทือกเขาสูงที่เธอมองเห็นได้จากทุกด้าน… ส่วนวาห์นก็คือหัวงที่ลึกที่สุดของมหาสมุทร เป็นห้วงลึกที่เธอได้แต่มองจากบนผิวน้ํา
สิ่งที่เฟรย่าแอบคาดหวังก็คือ การได้ลงไปสํารวจหัวงลึกแห่งนี้ ได้จมดิ่งลงไปในก้นปิ้งที่ไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน
(A/N: ชื่อตอนสํารอง: ดวงจันทร์สีน้ําเงิน: แมวดํา”, “ไม่ค่อยเลยนะ… มั้ง… อาจจะนะ?”, “ความโหยหาของเฟรย่า)