ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 373: อำลา
บทที่ 373: อำลา
ฉินเย่นอนอยู่บนเตียง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ
ดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากขยับไปไหน และไม่อยากจะกลับไปที่ยมโลก แค่วันนี้เท่านั้น เขาขอเห็นแก่ตัวบ้าง
มันเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก แต่มันก็เพียงพอที่จะสร้างความทรงจำอันล้ำค่ามากมายให้เขา เขาได้รู้สึกถึงการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่เอาชีวิตรอดและผ่านไปวัน ๆ
ตอนนี้เป็นเวลา 18.00 น. ในช่วงพลบค่ำของฤดูใบไม้ผลิ หลอดไฟในพื้นที่ของวิทยาเขตจึงสว่างไสวเร็วว่าปกติ
มันเงียบและสงบ น่าเสียดาย เขารู้ดีว่าทันทีที่ตัวเองก้าวออกไปจากหอคอยงาช้างที่ตัวเองอยู่ เขาจะไม่มีทางได้ประสบกับบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสถานที่แห่งนี้ได้อีกแล้ว
ทันใดนั้นเอง ใครบางคนก็เปิดประตูห้องของเขาออกอย่างแรง นักเรียนคนหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้อง ร้องตะโกนออกมาสุดเสียง “อาจารย์ฉิน! เกิดเรื่องแล้วครับ!!”
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเย่ตอบเสียงนิ่ง
“มีนักเรียนหมดสติไปครับ!” ฉินเย่เคยเห็นนักเรียนตรงหน้ามาก่อน เขารู้ว่าอีกฝ่ายมาจากสาขาการต่อสู้ แต่ยังนึกไม่ออกว่าชื่ออะไร นักเรียนตรงหน้ายังคงพูดออกมารัว ๆ อย่างร้อนรน “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ชีพจรของเขาหยุดเต้นไป! แล้วแถวนี้ก็ไม่มีอาจารย์คนอื่น ๆ เลย!”
“นำไปเลย” ฉินเย่รีบลุกขึ้นทันที อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้เขาก็ยังถือว่าตัวเองยังเป็นอาจารย์ผู้สอนของสำนักฝึกตนแห่งแรกอยู่
เด็กนักเรียนตรงหน้ารีบวิ่งนำเขาไปที่โรงอาหาร แต่ยิ่งเข้าใกล้จุดหมาย ฉินเย่ก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน
มีบางอย่างผิดปกติ…
ตอนนี้ไม่น่าจะใช่เวลาอาหาร ถึงแม้ว่ามันจะมีโรงอาหารอยู่อีกที่หนึ่งในสถาบัน แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะไปรวมตัวกันที่นั่น แล้ว…ทำไมที่นี่ถึงมืดสนิทแบบนี้?
วิญญาณเหรอ? แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
เขาเปิดประตูโรงอาหารเข้าไปอย่างรีบร้อน แต่ก็ถูกทักทายด้วยแสงไฟที่สว่างขึ้นอย่างกะทันหัน และในเสี้ยววินาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็อ้าปากค้าง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“อาจารย์ฉินมาแล้ว!” เถาหรานยืนอยู่ตรงกลางของโรงอาหาร แย้มยิ้มกว้างขณะที่เดินเข้ามาและกอดฉินเย่แน่น “มา อาจารย์ฉิน นั่ง ๆ!”
“พวกคุณ…” ฉินเย่ยังคงมองไปรอบ ๆ ด้วยความตกตะลึง โต๊ะภายในโรงอาหารเต็มไปด้วยอาหารจำนวนมาก แม้กระทั่งเบียร์ สิ่งที่มักจะถูกห้ามภายในสถาบัน นักเรียนของสาขาการต่อสู้ทั้งหมดอยู่ที่นี่ ในขณะที่หลินฮั่น ซู่เฟิง และอาจารย์ผู้สอนคนอื่น ๆ เองก็กำลังส่งยิ้มมาให้เขา ฉินเย่โบกมือให้คนทั้งหมดอย่างเขินอาย
โจวเซียนหลงเองก็อยู่ที่นี่ และเขาเองก็เช่นกัน ส่งยิ้มบางให้เด็กหนุ่ม แม้แต่เทพเจ้าทั้งสองของสถาบันอย่างสวี่อันกั๋วและหลี่เทาเองก็อยู่ที่นี่ด้วย ป้ายขนาดใหญ่ถูกแขวนที่ผนัง “งานเลี้ยงอำลาอาจารย์ฉิน อาจารย์ผู้สอนดีเด่นของสำนักฝึกตนแห่งแรก”
“มา มา มานั่ง ไม่ต้องอาย” หลินฮั่นลากตัวอีกฝ่ายมาที่โต๊ะและกดให้ฉินเย่นั่งลง “คุณไม่คิดจะบอกลาพวกเราเลยหรือไง? หากศาสตราจารย์เถาไม่บอกเราเรื่องการออกเดินทางของคุณ เราก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ นี่คุณไม่แม้แต่จะคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนร่วมรบกันเลยหรือไง?”
“คุณนี่มันไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ” ซู่เฟิงมองอย่างหงุดหงิด “มันไม่ใช่ว่าการจากไปของคุณจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราจบลง เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ผู้ชาญฉลาดเป็นอันดับหนึ่งของสำนักฝึกตนแห่งแรก? คุณไม่คิดเหรอว่ามันจะเกินไปหน่อยหากจากไปโดยไม่ลากันสักคำ?”
ฉินเย่กำลังมึนงงเป็นอย่างมาก!
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงมีงานเลี้ยงอำลาให้เขา?
เขาเคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อนในหนังหรือละครโทรทัศน์ แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง มัน…ไม่ใช่ว่าเขาได้สร้างความสัมพันธ์มากมายในปีนี้… และเขาก็ไม่ได้เข้าร่วมงานสังคมเท่าไหร่นัก… แต่ทำไมทุกคนถึงอยู่ที่นี่?
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่มากมายของเขา
ภายในหัวของเขาอื้ออึงไปหมด เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังลุกโชนอยู่ภายในอกของเขา ความขมขื่นแผ่ซ่านไปทั่ว รูจมูกตันอย่างกะทันหันและขอบตาก็เริ่มแดงก่ำ ร่างกายเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยจนแม้แต่สมองก็หยุดทำงานไปโดยสมบูรณ์
ตอนที่ได้รับรู้เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของวิญญาณสาวที่บ้านของหวังเฉิงห่าว เขาเพียงมองมันด้วยสายตาเย็นชา และจัดการกับเรื่องทั้งหมดตามกฎข้อบังคับของโลกใต้พิภพ
ในทำนองเดียวกัน เขาได้กระทำสิ่งที่โหดเหี้ยมและไร้ความรู้สึกแม้กระทั่งตอนที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์สังหารหมู่ของหลี่เจียนคัง
เมื่อลองมาคิดดูแล้ว… หรือว่ามันเป็นเพราะ… เหตุการณ์เหล่านั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเป็นการส่วนตัว?
ฉินเย่รู้สึกราวกับว่าเขากำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆในขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้หลัก หากพูดกันตามตรง เขานั้นรู้สึกท่วมท้นจนพูดอะไรไม่ออก โชคดีที่หลินฮั่นยกแก้วของตนขึ้นและเอ่ย “มา! แด่อาจารย์ฉิน! อัจฉริยะของสำนักฝึกตนแห่งแรก! ขั้นนักล่าวิญญาณตั้งแต่ยังหนุ่ม! และเขาจะกลับสู่–… ไม่สิ! เขาจะขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอีก!!”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักครับ/ค่ะ อาจารย์ฉิน!!” นักเรียนทั้งหมดลุกขึ้นยืนพร้อมกัน บางคนดูหน้าคุ้นกว่าคนอื่น แต่คนทั้งหมดก็ล้วนมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าทั้งสิ้น โดยปราศจากการรอคำตอบของฉินเย่ พวกเขาดื่มเบียร์ในแก้วจนหมดทันที
“ขอบคุณ อาจารย์ฉิน” เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทันทีที่นักเรียนเอ่ยคำขอบคุณของตนจบ เถาหราน โจวเซียนหลง หลี่เถา และสวี่อันกั๋วเองก็รีบลุกขึ้นยืน ฉินเย่ทำท่าจะลุกขึ้นเช่นกัน แต่แล้วก็ถูกหลินฮั่นกดไหล่เอาไว้ “ไม่ต้อง คืนนี้คุณคือบอส คุณไม่จำเป็นต้องลุกขึ้น”
ทันใดนั้นฉินเย่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ค่อนข้างไร้เหตุผลพอสมควร
เป็นคนหน้าตาดีที่ไร้เหตุผลอย่างแท้จริง…
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้ทำเพื่อสำนักฝึกตนแห่งแรก” เถาหรานเอ่ยในฐานะของบุคลากรของสาขา “ปราศจากคุณ สำนักฝึกตนแห่งแรกคงไม่เป็นสำนักฝึกตนแห่งแรกอย่างที่พวกเรารู้จักกันในวันนี้”
“หากปราศจากเล่มวิจัยของคุณ สำนักฝึกตนแห่งแรกคงไม่มีทางสร้างชื่อให้กับตัวเองได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ”
“เพราะฉะนั้น ขอบคุณ ขอบคุณที่คุณยอมเสียสละเวลาบ่มเพาะอันมีค่าเพื่อบำรุงสวนแห่งนี้ คุณคือชาวสวนที่ดีที่สุด สบายใจได้ กำแพงเกียรติยศของสถาบันจะต้องมีที่สำหรับชื่อของคุณอย่างแน่นอน!”
อึก สิ้นสุดเสียงพูด บุคลากรของสาขาทั้งหมดก็ดื่มเครื่องดื่มภายในแก้วทั้งหมดของตนในคราวเดียว
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหางตาของตัวเองมันร้อนขึ้น?
ฉินเย่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาจะมารู้สึกประทับใจและซาบซึ้งแบบนี้
เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ได้ผ่านการจากลามามาก หากพูดกันตามตรง เขานึกว่าหัวใจของตัวเองกลายเป็นหินไปตั้งแต่ตอนที่เอ่ยลากับจางเปากัวก่อนหน้านี้แล้ว และตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็กระทำการทุกอย่างตามความตั้งใจของตัวเอง ไม่ว่าจะหัวเราะ สบถ หรือเอ่ยอะไรออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่คาดคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออกแบบนี้
อาร์ทิสจะต้องล้อเขาแน่ ๆ หากนางเห็นเขาในตอนนี้…
เขาดื่มเบียร์ในแก้วจนหมด เถาหรานยิ้ม “นักเรียน อาจารย์ผู้สอน และบุคลากรสาขาทุกท่าน เริ่มงานเลี้ยงได้! หลังจากที่กินอิ่มแล้ว เราก็จะมีแรงและพลังในการไปส่งอาจารย์ฉินออกเดินทาง!”
ทั่วทั้งโรงอาหารเกิดเสียงดังขึ้นในทันที
ฉินเย่นั่งอยู่ที่โต๊ะกับอาจารย์ผู้สอนและศาสตราจารย์ของสาขาคนอื่น ๆ พวกเขาใช้เวลาทานอาหารไปอีกประมาณสิบนาที ก่อนที่สวี่อันกั๋วจะยกแก้วของเขาขึ้นและเอ่ยว่า “ยกเว้นแค่วันนี้ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้อย่าไปเรียนสายเด็ดขาด มา เสี่ยวฉิน มาดื่มกับคนแก่คนนี้หน่อย”
ฉินเย่กลับมารู้สึกตัวแล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเขาก็แย้มยิ้มเศร้า ๆ ออกมาขณะที่ยกแก้วของตนขึ้น “ผมคงดื่มได้ไม่มากนัก ขอโทษนะครับ”
เขาไม่สามารถดื่มหนักได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นี่คือกฎเหล็กที่เขาตั้งเอาไว้สำหรับตัวเอง
“ผมเข้าใจ” สวี่อันกั๋วเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะดื่มของเหลวในแก้วของตนในคราวเดียว จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “แต่ผมไม่คิดเลยว่าจะต้องส่งตัวอาจารย์ผู้สอนออกไปเร็วขนาดนี้”
“อาจารย์ฉินเป็นข้อยกเว้น เขาจำเป็นต้องทำให้ร่างกายกลับมาอยู่ในเงื่อนไขที่เหมาะสมที่สุดในการทำงาน” หลี่เทาเอ่ยขึ้น “แต่ อาจารย์ฉิน การจากไปของคุณไม่ได้หมายความว่าคุณออกจากสำนักฝึกตนแห่งแรก สถานที่ซึ่งคุณถูกย้ายไปประจำการจะถูกกำหนดให้เป็นเขตไล่ล่าต่อไปของสถาบัน คุณจะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักฝึกตนแห่งแรกตลอดไป! มีใครคัดค้านไหม?!”
“ไม่ต้องห่วงครับ” ฉินเย่รู้สึกยินดีกับการที่ตนถูกประจบราวกับเป็นเด็กน้อยผู้ถูกหวงแหน เขาไม่ต้องการที่จะปล่อยมันไปเลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไป เวลาปีหนึ่งปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเลยนะ…” เถาหรานถอนหายใจออกมาและมองออกไปด้านนอก “เสี่ยวฉิน คุณอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ แต่คุณคือคนที่ผมตั้งความหวังไว้มากที่สุด”
“คุณใจเย็นและสุขุม ไม่เหมือนกับอาจารย์บางคนแถวนี้” เถาหรานเหลือบมองหลินฮั่น แต่เขาก็ได้รับรอยยิ้มงี่เง่าตอบกลับมา โดยไม่สะทกสะท้านใด ๆ เขาเอ่ยต่อ “ผมคาดหวังว่าจะให้คุณรับตำแหน่งศาสตราจารย์ต่อหลังจากที่ผมจากไป ระดับบ่มเพาะของคุณแข็งแกร่ง คุณมีประสบการณ์ในการต่อสู้ และคุณยังทุ่มเทให้กับนักเรียน การที่คุณอายุยังน้อยหมายความว่าอนาคตของคุณนั้นไร้ขีดจำกัด ไม่เหมือนกับผม… ความหวังที่จะได้ทะลุคอขวดเป็นขั้นตุลาการนรกนั้นลดลงเรื่อย ๆ น่าเสียดาย…”
เสียงของเถาหรานเจือไปด้วยความเสียดาย ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถาม “ศาสตราจารย์ก็จะออกเหมือนกันเหรอครับ?”
“ใครล่ะจะไม่ไป?” หลี่เทาถือแก้วของตนและถอนหายใจออกมา “พวกเราเป็นเพียงแม่พิมพ์สำหรับสถาบันการศึกษาในอนาคตที่กำลังจะมาถึงก็เท่านั้น เมื่อพวกเราได้พิสูจน์ตัวเองและกลายเป็นสาธารณะ พวกเราก็คงกระจัดกระจายตัวไปตามส่วนต่าง ๆ ของจีนเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ของสำนักฝึกตนแห่งแรก คุณเองก็เช่นกัน เป็นหนึ่งในต้นกล้าต้นแรก ๆ ของเราที่ได้รับการบ่มเพาะ ถึงแม้ว่าโชคชะตาจะกำหนดให้พวกเราต้องแยกจากกัน แต่จิตใจและวิญญาณของเราก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียว”
เขายกมือขึ้นปรับระดับแว่นตาของตัวเอง “จงจำไว้ มิตรภาพยังคงอยู่ในใจเราเสมอ อีกหลายสิบปีต่อมา เมื่อพวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่หน้ากำแพงเกียรติยศของสถาบัน เราจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้กับเด็ก ๆ ฟัง อะไรจะน่ามีความสุขไปมากกว่านี้”
“เมื่อรวมกันเราเป็นเหมือนกองไฟ แต่แม้กระจัดกระจายไป เราก็ยังเป็นเหมือนกับดวงดาว” ดวงตาของสวี่อันกั๋วฉายชัดถึงความเสียดาย “เสี่ยวฉิน ผู้ใดจะรู้ว่าอนาคตมีสิ่งใดรอเราอยู่? บางทีสำนักฝึกตนแห่งแรกอาจจะก่อตั้งสำนักสาขาขึ้นที่เมืองที่คุณต้องไปประจำการก็ได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึง คุณจะไม่แสดงให้เหล่าสหายและญาติของตัวเองเห็นถึงกำแพงเกียรติยศและบอกพวกเขาว่าชื่อของคุณจะถูกสลักอยู่ที่นั่นตลอดไปอย่างภาคภูมิใจหรอกหรือ?”
ชายที่ไม่ค่อยพูดเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน และนั่นก็ทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นอบอุ่นขึ้นมากกว่าเดิม
“แต่พวกเราจะปล่อยให้เรื่องของอนาคตเป็นเรื่องของอนาคต มา เหล่าฉิน มาดื่มให้หมดแก้วไปเลย!” หลินฮั่นยกแก้วของตนขึ้นมาและชนมันกับแก้วของฉินเย่ก่อนจะดื่มมันจนหมด จากนั้น เขาก็ตบแขนอีกฝ่ายอย่างแรง “คุณจะไปทั้ง ๆ แบบนั้นไม่ได้ ผมยังไม่เคยเอาชนะคุณได้เลยสักครั้ง!”
ฉินเย่หัวเราะ “คุณยังมีโอกาสครั้งหน้า”
หลินฮั่นเอนหัวและกระซิบเบา ๆ “คุณรู้อะไรไหม ผมแทบทนไม่ได้ตอนที่ผมเห็นหน้าคุณครั้งแรก”
“มีคนฝึกฝนเร็วกว่าผมได้อย่างไรกัน? แถมยังดูเด็กมากด้วย?! คุณนี่มันศัตรูตัวฉกาจของผมชัด ๆ!”
“แล้วใครจะไปคิดว่าผมยังไม่สามารถเอาชนะคุณได้สักครั้งทั้ง ๆ ที่คุณกำลังจะไปซะแล้ว?” เขายืดหลังตรงและถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นอีกครั้ง “เอาเถอะ ครั้งหน้า เรามาสู้กันอีก!”
เมื่อเวลาผ่านไป ฉินเย่ตามใจเหล่าเพื่อนร่วมงานและดื่มเบียร์ไปหลายแก้ว แต่ความรู้สึกร้อนรุ่มภายในใจของเขาก็เริ่มสงบลงในที่สุด – ใช่แล้ว… การจากลานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความทรงจำที่จะสลักอยู่ภายในใจของคนผู้นั้นตลอดไป
เขาจำไม่ได้แล้วว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ พูดเรื่องอะไร แต่ทั้งหมดที่เขาต้องทำในค่ำคืนอันผ่อนคลายก็คือยิ้มให้กับทุกคนอย่างจริงใจ มันไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำพูด เพราะคำพูดไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้ สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจก็คือบรรยากาศที่นี่อบอุ่น และเขาก็อยากจะเก็บความทรงจำทั้งหมดนี้และรักษามันไว้ตลอดชีวิต
“อาจารย์ฉิน!” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เมื่อฉินเย่หันกลับไปมอง เขาก็พบว่าเป็นเย่ซิงเฉินที่กำลังถือแก้วของตนและยืนมองเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ อีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาครับ! ผมจะจดจำคุณตลอดไป!”
เด็กนี่พูดบ้าอะไร… เขายังไม่ได้จะตายในวันพรุ่งนี้สักหน่อย
แต่ฉินเย่กลับพบว่าคืนนี้ตัวเองพูดอะไรไม่ออก และทำได้เพียงตบไหล่เย่ซิงเฉินและตอบกลับสั้น ๆ “ตั้งใจฝึกฝน และอย่าถูกวิญญาณฆ่าตายเป็นอันขาด”
“ได้เลยครับ!!” เย่ซิงเฉินดื่มหมดแก้วภายในรวดเดียว “คุณจะต้องแวะมาเยี่ยมตระกูลเราให้ได้นะครับ! ผมจะเป็นคนพาคุณเดินดูรอบ ๆ เอง! เรามีภูเขาที่มีชื่อเสียงและโบราณสถานมากมายอยู่แถวนั้น! โปรดดูแลตัวเอง! และหากอาจารย์ต้องการอะไรสามารถติดต่อผมมาได้ตลอดเวลา!”
“แน่นอน” ฉินเย่ยิ้มและทำมือเป็นท่า ‘ok’ มันเป็นตอนนั้นเองที่เย่ซิงเฉินยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มจากไป นักเรียนผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินมาด้วยใบหน้าแดงก่ำและแก้วในมือ
ดวงตาของเธอแดงจนไม่น่าเชื่อ และเธอก็โค้งคำนับฉินเย่ “อาจารย์ฉิน ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ!”
ฉินเย่คุ้นหน้าเด็กคนนี้
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมา อีกฝ่ายก็กัดปากของตัวเองอย่างแรงและเอ่ยว่า “ตอนที่มาที่นี่ตอนแรก…ฉันไม่รู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่คุณก็ยังสอนฉันอย่างใจเย็น และ… และ… คุณยังเลือกมือใหม่อย่างฉันและสอนถึงวิธีการเขียนเล่มวิจัยที่ถูกต้อง… แถมยังใส่ชื่อฉันไว้ในเครดิตอีกด้วย ฉันขอบคุณทุกโอกาสที่คุณมอบให้ และฉัน…ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเด็ดขาด! ถึงแม้ว่าคุณจะไม่อยู่ที่สถาบันอีกแล้ว แต่ฉันก็จะตั้งใจเรียนมากกว่าเดิม!”
หลังจากนั้น เธอก็ดื่มของเหลวในแก้วของตนจนหมดในรวดเดียว
“แค่ก แค่ก แค่ก!!” เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ค่อยได้ดื่มนัก เธอจึงสำลักจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ใบหน้าเด็กสาวแดงก่ำไม่ต่างจากดอกเยอบีร่าที่สดใส
และมันก็ไม่ใช่แค่ทั้งสองเท่านั้นที่เดินเข้ามา
นักเรียนคนที่เหลือเองก็เดินตามเข้ามาติด ๆ พยายามแย่งชิงกันเพื่อเดินมาต่อแถวคุยกับอาจารย์ฉิน มีทั้งผู้ที่ดื่มและไม่ดื่ม ทั้งเสียงดังหรือเขินอาย แต่คนทั้งหมดต่างก็เอ่ยกับฉินเย่อย่างจริงใจ
“อาจารย์ฉิน ขอให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนะครับ” “อาจารย์ฉิน อย่าหายเงียบไปนะครับ! อย่าปิดเสียงกลุ่มแชทของพวกเราเด็ดขาด!” “อะ อาจารย์ฉิน…ผมขอเพิ่มเพื่อนในโม่โม่กับคุณได้หรือเปล่าครับ?” “อาจารย์ฉิน เดินทางปลอดภัยนะคะ!” “อาจารย์ฉิน คุณรู้อะไรไหมคะ ฉันชอบคุณมาโดยตลอด! คุณช่วย…รอฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น สองชั่วโมงผ่านไปในพริบตา และหลี่เทาก็ลุกยืนขึ้นในที่สุด “นักเรียน อาจารย์ ศาสตราจารย์ ผมเชื่อว่าทุกท่านล้วนได้ส่งคำอวยพรและความหวังดีให้กับอาจารย์ฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และผมก็เชื่อว่าเขาเองก็รับรู้ถึงมันแล้วเช่นกัน เรายังมีการสอนพรุ่งนี้อีก เพราะฉะนั้นพอกันเท่านี้เถอะ อาจารย์ฉิน ไปเถอะ ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว”
“ครับ” ฉินเย่เอ่ย
พวกเขาเดินออกจากประตูหลักของโรงอาหาร เมื่อไม่มีใครสังเกต ฉินเย่ก็หยุดนิ่งและหันกลับไปมองยังโรงอาหารที่ยังคงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกัน
ลาก่อนสำนักฝึกตนแห่งแรก
ความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นจะถูกสลักไว้ในใจของเขาตลอดไป… ประสบการณ์ที่นี่… มีค่ามากจริง ๆ….