เทพบุตร ทวงแค้น / เทพศึกมังกรหวนคืน - บทที่ 451 ชิวซือซือ: “ใครแกล้ง”
ไม่นาน พอทุกคนถูกจัดการหมดแล้ว
อายีก็ค่อยลงมาจากต้นไม้ แล้วเปลี่ยนหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นคนผมยาว ในชุดตาข่าย บนชุดตาข่ายนั้นมีลวดลายแปลกตา แต่ว่าพอรวมกับใบหน้าเรียวๆ ดวงตาดั่งพระจันทร์ของเธอแล้ว ก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่าเป็นนางฟ้าเลยทีเดียว
แต่ว่า ในเวลานี้ กลับไม่มีใครมองว่าเธอเป็นนางฟ้าหรอก
เพราะว่า พวกเขาล้วนได้เห็นแล้ว ว่าแมลงพวกนั้นมันกัดกินเลือดเนื้อของคนเป็นๆ ไปได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงอย่างอิ่นหนิงหยู่เลย ตอนนี้เธอไม่กล้ามองอายีเลย ต่อให้เป็นเฮียต้าหู่ที่เป็นผู้ชายกล้าหาญ มองอายีและแมลงพวกนั้น ก็ต้องขนหัวลุกเหมือนกัน
นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะเนี่ย
“ใต้เท้า พวกคนรอบๆ นี้ ถูกจัดการหมดแล้ว”
อายีเดินพูดเข้ามา
คนที่เข้ามาสืบข่าวใกล้ๆ นี้ ก็ถูกอายีจัดการหมดแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่ที่ชานเมือง และอยู่ในป่า ถือว่าเป็นถิ่นของอายี นอกจากฉินเฟิงที่เป็นคนมีพลังมาก และยังมีประสบการณ์ต่อสู้อย่างช่ำชอง ทั้งยังมีประสาทสัมผัสดีมาก
คนทั่วไปไม่มีทางรับมือเธอได้
“ขึ้นรถเถอะ”
ฉินเฟิงสะบัดมือพูด
ก้อนหินด้านหน้า ถูกเข้าจัดการออกไปหมดแล้ว
เขาก็เข้ามานั่งที่เบาะข้างคนขับ และอายีก็เข้ามานั่งด้านหลัง จากนั้นก็เห็นอิ่นหนิงหยู่ที่นั่งหดตัวกอดกระบี่กษัตริย์รัฐเยว่ไว้ไม่พูดไม่จา ก็ยิ้มออกมาเผยฝันเขี้ยวออกมา “ไม่ต้องกลัวนะ”
พอยิ้มออกมาแบบนี้ ค่อยอบอุ่นหน่อย
ที่สำคัญคือ อายุมีรูปร่างหน้าตาดีมาก พอยิ้มออกมา ก็เหมือนเป็นนางฟ้า แน่นอนว่า นี่เป็นการปฏิบัติกับคนพวกเดียวกัน เพราะอย่างไรเสีย เธอก็เป็นหญิงสาววัยรุ่นดรุณีคนหนึ่ง
แต่กลับศัตรู เธอก็จะเป็นอีกหน้าหนึ่ง
เป็นเหมือนกับปีศาจสาวที่ขึ้นมาจากนรก
ทำให้คนหวาดกลัว
“พี่สาวคะ พี่สวยมากเลย”
อิ่นหนิงหยู่สบายใจขึ้นมาหน่อย ถูกรอยยิ้มของอายีสะกดเข้าแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ เบาใจมากขึ้น แล้วก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้อายีมากขึ้น พร้อมกับลูบไปที่ผิวหนังของอายี
“พี่ผิวสวยมากเลยค่ะ”
อิ่นหนิงหยู่พูดชื่นชม
ต้องบอกก่อนว่า อิ่นหนิงหยู่ยังเป็นนักศึกษา ส่วนอายีเป็นผู้หญิงที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกตระกูลเซี่ยแห่งซีโจว นำทีมออกมาตามทำลายกระบี่กษัตริย์รัฐเยว่หรอก
ก็แค่สู้ซือหม่าเฉินไม่ได้เท่านั้นเอง
ตระกูลซือหม่า มีคนเก่งตั้งแต่อดีตแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะกบฏ ตระกูลนี้ก็คงรุ่งเรืองมากที่สุดเลยล่ะ แต่ถ้าก่อกบฏ ตระกูลนี้ก็จะทำให้คนโกรธแค้น ทำให้คนเจ็บปวด จนอยากจะกินเลือดกินเนื้อคนตระกูลนี้เลยล่ะ
“อิอิ”
อายีก็หัวเราะออกมา
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ บ้านพักหลังหนึ่ง อายีก็ถามว่า “ใต้เท้าคะ คนแถวบ้านพักนี้ จะให้ฉันจัดการด้วยเลยไหมคะ ฉันทำได้”
ครั้งก่อน เธอมีหน้าที่จัดการกับเย่เซียว
อย่างไรเสียก็เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งคนหนึ่ง
แต่ว่า ครั้งนี้ เย่เซียวเป็นพวกกันเอง เธอจะจัดการกับพวกกระจอกพวกนี้ มันก็ง่ายเหมือนบี้หมด นิดเดียวก็ตายแล้ว
“ยังไม่ถึงเวลา”
ฉินเฟิงส่ายหัว
จากนั้น ก็เดินเข้าไปกับอิ่นหนิงหยู่ ส่วนอายี ไม่ได้เข้าไป รออยู่ด้านนอก
ยังไม่ถึงเวลา
มาถึงด้านในบ้านพัก อิ่นหนิงหยู่ไปทำกับข้าว ส่วนฉินเฟิงก็ขึ้นตึกไป เคาะประตูห้องตนเอง ครู่หนึ่งก็มีเสียงตอบกลับมานิ่งๆ ว่า “เข้ามาได้”
ฉินเฟิงเปิดประตูเข้าไป พอมองไป เห็นชิวซือซือยังไม่ลงจากเตียง กำลังกอดผ้าห่มอยู่มุมหนึ่งของเตียง แล้วก็ใช้สายตาที่โกรธเกลียดมองฉินเฟิง
“พอได้แล้ว จัดการตัวเอง แล้วลงมากินข้าว ไม่ต้องแกล้งแล้ว”
ฉินเฟิงพูดไปประโยคเดียว แล้วก็หันหลังจากไป
พอฉินเฟิงออกไปแล้ว ชิวซือซือก็บ่นๆ ว่า “ใครแกล้งกัน”
มีผู้หญิงที่ไหนที่เสียสาวครั้งแรก แล้วจะไม่เศร้าและแค้นบ้าง
แถมยังเป็นวิธีนี้อีก
จะไม่ให้เธอมีอารมณ์โมโหเลยหรือไง
ก็แค่บ่นออกมานิดหน่อย ชิวซือซือเป็นทหารมา เธอรีบพลิกตัวแล้วเก็บข้าวของ เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่เสื้อผ้าของฉินเฟิง เป็นชุดของผู้ชาย ด้านบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ด้านล่างเป็นกางเกงขาสั้น
บิดขี้เกียจเล็กน้อย จากนั้นก็เดินลงมา
ด้านล่าง ฉินเฟิงใส่ผ้ากันเปื้อน แล้วก็ยกกับข้าวมาวาง ส่วนอิ่นหนิงหยู่ก็ช่วยอยู่ข้างๆ มีกับข้าวไม่กี่อย่าง เป็นกับข้างง่ายๆ และดูอบอุ่นมาก ทำให้ชิวซือซือเห็นแล้วก็อึ้ง
คนคนนี้ ไม่เพียงหน้าตาหล่อ แถมยังทำกับข้าวเป็นอีกด้วย
แถมยังหอมมากเลย
ใบหน้าเย็นชา มือจับตะหลิว เขย่ากระทะ
แถมยังแข็งแรง
มีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ด้วย
ถ้าเป็นแฟนของตนเอง ก็คงจะดีมากเลย
“เธอมองอะไรน่ะ?”
ทันใดนั้น อิ่นหนิงหยู่ก็สังเกตเห็น แล้วก็พูดออกไป
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ชิวซือซือรีบส่ายหัว
ภายนอก แสดงออกมาว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ว่าในใจนี่เต้นตุบตับ เต้นไม่หยุด เธอขยี้มือตนเอง ในใจก็คิดฟุ้งซ่านว่า ชิวซือซือนะชิวซือซือ แกคิดอะไรอยู่เนี่ย
คิดบ้าอะไรเนี่ย
เขามีภรรยาไปแล้ว
ต่อให้แกมีอะไรกับเขาไปแล้ว แต่แกจะไปทำลายความสัมพันธ์ของครอบครัวเขาไม่ได้นะ
จะต้องเป็นฤทธิ์ยาเมื่อคืนนี้แน่นอน
ใช่
จะต้องเป็นฤทธิ์ยาเมื่อคืนนี้แน่ๆ
ฤทธิ์ยาเมื่อคืนนี้คงจะยังไม่หมด
จะต้องเป็นฤทธิ์ยาเมื่อคืนนี้แน่ๆ
ชิวซือซือคิดในใจ ที่ตนเองหลับไปเมื่อคืน จะต้องเป็นฤทธิ์ของยาแน่ๆ
“จริงหรอ?”
อิ่นหนิงหยู่แอบสงสัย เธอสัมผัสได้ว่าสายตาเมื่อครู่นี้มันแปลกๆ ทันใดนั้นก็มองไปยังชิวซือซือ แล้วก็มองฉินเฟิง ก็พบว่าฉินเฟิงก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย แต่ว่า เธอไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
ไม่ใช่
หล่อบ้าบออะไรล่ะ
ไอ้ฉินเฟิงบ้า
ไอ้แซ่ฉินคนบ้า
ชาตินี้เขาก็ไม่มีวันหล่อขึ้นมาได้หรอก
ในใจของเธอไม่พอใจฉินเฟิง แถมยังส่งสายตาไม่พอใจใส่ฉินแปรพักตร์อีก เล่นเอาฉินเฟิงฉงนใจไปเหมือนกัน ยัยหนูคนนี้ จ้องมองตนเองมาทำไมกัน ตนเองไปหาเรื่องยัยหนูคนนี้ตอนไหนกัน?
“เหอะ”
พอนั่งลงแล้ว อิ่นหนิงหยู่ก็ส่งเสียงไม่พอใจ แล้วก็นั่งกินข้าวไป
“เดี๋ยวเธอใส่ชุดของฉันนะ เดี๋ยวฉันไปหาชุดที่หนากว่านี้หน่อยมาให้ อย่าใส่แบบนี้” อิ่นหนิงหยู่กินข้าวไป แล้วก็มองเสื้อผ้าที่ชิวซือซือใส่ไปด้วย
หมายความว่าไง?
ใส่ชุดอ่อยงั้นหรือ?
นี่เป็นพี่เขยฉันนะ
“อ่อ”
ชิวซือซือพยักหน้า ไม่ได้ขัดอิ่นหนิงหยู่
“ไม่ต้องไปสนใจเธอ เดี๋ยวสักพักไปกับผม จะต้องเตรียมตัวสู้แล้ว เสี่ยวหยู่ ไปอยู่กับอายี อย่าไปไหนมั่ว” ฉินเฟิงพูดกำชับ
เสี่ยวหยู่อยู่กับอายีถึงจะปลอดภัยที่สุด
เพราะว่าปกติอายีจะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาง่ายๆ
ถ้าเปิดเผยออกมา ก็อยู่ไม่ใกลจากอันตรายแล้ว
ศัตรูสามารถฆ่าคนได้ในหมู่ทหารนับหมื่น
อายีจะเลือกตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด อิ่นหนิงหยู่ติดตามไปกับอายี ปลอดภัยที่สุด
“ได้”
ครั้งนี้อิ่นหนิงหยู่ไม่ได้คัดค้าน
เธอรู้ว่าบางเวลาตนเองสามารถเอาแต่ใจตัวเองได้ แต่ว่าเวลาที่ฉินเฟิงสั่งการอะไรแบบนี้ จะเอาแต่ใจไม่ได้เด็ดขาด เพราะการกระทำของเธอคนเดียว อาจจะเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของทั้งต้าหัว