เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 62 ผู้ชิงแสงไฟ
ตอนที่ 62 ผู้ชิงแสงไฟ
“จุดแปลกในโลงศพราชาหัวใจราชสีห์ถูกปลุกแล้ว…”
อู๋เต้าจื่อเม้มริมฝีปากด้วยความตึงเครียดนิดๆ ไม่นึกเลยรายละเอียดที่แม้แต่คัมภีร์แสวงมังกรยังคาดการณ์ไม่ได้ หนิงอี้กลับคำนวณออกมาได้
เขากังวลมากว่าในแดนเล็กแห่งนี้ ไม่รู้ยังมีผนึกอีกเท่าไร หากไม่ระวังไปแตะต้องค่ายกลอะไรเข้า จะเกิดปรากฏการณ์ที่น่ากลัวกว่าค่ายกลทหารเงามืดบุก…
อู๋เต้าจื่อทนไม่ไหวตัวสั่นขึ้นมา
ดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ฝนตกหนักกลางฟ้า สายฝนเชื่อมกันเป็นเส้นสาย ตอนนี้แข็งค้างกลางฟ้าดิน น้ำฝนทุกเม็ดอิ่มเอิบชัดเจน เหมือนเวลาหยุดนิ่ง
สายลมบนทุ่งหญ้าใหญ่ยังคงพัดผ่าน ใบหญ้าพากันลอยขึ้น หญ้าน้ำค้างสีขาวลอยขึ้นฟ้าสูง ตัดผ่านม่านฝน
ยอดขุนพลที่สวมชุดคลุมงูดำมีใบหน้าเคร่งขรึม สองมือกดหัวกล่องกระบี่ที่ปักลงพื้น มองโลงศพราชาหัวใจราชสีห์ไกลๆ ปราณกระบี่โดยรอบวนเวียนเชือดเฉือนหยดน้ำฝน
ขุนพลนุ่มนวลที่ลดท่าเล็งธนูลงดวงตาแดงก่ำ เม้มริมฝีปาก บนใบหน้าซีดขาว ไม่รู้เป็นน้ำตาหรือหยดน้ำฝน เขาเหยียดหลังตรง เกราะหนักกับกระดูกส่งเสียงกร๊อบมาช้าๆ…
บนทุ่งหญ้าเงียบสงบ
เปิดจุดแปลกของสุสานแห่งนี้ขึ้น ทุ่งหญ้าเงียบสงบโบราณเริ่มหยุดการโคจรทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเหมือนจะหยุดเดิน มองอยู่ไกลๆ มองส่งหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อ
เส้นแสงสีดำวนเวียนปริแตก เหมือนแดนแห้งแล้งที่ดับสูญมาตลอดทั้งปีนี้เกิดดอกไม้งดงามขึ้นดอกหนึ่ง ตรงกลางโลงศพก็คือดอกตูม
หนิงอี้ใช้สองมือประคองข้างโลงศพไว้ เขาเพ่งมองราชาหัวใจราชสีห์ที่หลับใหลนิรันดร์ในโลงไม้พลางพูดอย่างจริงจัง “ขอบคุณท่าน…ขอบคุณ”
ใบหน้าขาวซีดของราชาหัวใจราชสีห์เปียกจากน้ำฝนหยดหนึ่ง
เขาเหมือนจะยิ้ม
บนทุ่งหญ้า ยอดขุนพลเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ชักอาวุธออกมา ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในหมอกเงามืดโดยไม่หันกลับมา อินทรีนภาส่งเสียงร้องแหลมบินวน ม้าศึกย่ำเท้าดังสนั่นปฐพี
หมอกเงามืดชั่วร้ายหมุนม้วนเข้ามา…
แสงสว่างปกคลุมหนิงอี้กับอู๋เจ้าจื่อ พาไปจากที่นี่
…..
ก้นมหาสุสานกว้างโล่ง ไม่ใช่แดนเทวาเล็กใหญ่ของเคียงกระบี่ แต่กลับมาสุสานสี่สำนักศึกษาตอนแรกสุด
ฝุ่นดินสั่นไหว
ที่นี่ก็เป็นแดนต้องห้ามเหมือนกัน แต่มาที่นี่ หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อโล่งอกเสียงดัง เส้นประสาทที่ตึงเปรี๊ยะนั้นคลายลง นักบวชหอบหายใจ เอาสองมือยันหัวเข่า ก้มตัวพูดงึมงำ “ให้ความกล้าข้าอีกสิบอัน ก็ไม่กล้าไปสุสานจักรพรรดิแล้ว…น่ากลัวชะมัดเลย”
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น คลึงระหว่างคิ้ว สุดท้ายเขาไปสัมผัสใต้โลงของราชาหัวใจราชสีห์ ในใจเขาก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน…เขาเก็บเศษหญ้านั้น หากไม่ใช่เพราะวัตถุแห่งมหาสุริยะนี้ ตนกับอู๋เต้าจื่อคงตายไปนานแล้ว
ทหารเงามืดหลายหมื่นบุกเข้ามาบนทุ่งหญ้า ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญที่จุดดาราชะตาก็ต้านพลังสังหารนี้ไม่ไหว ต้องถูกทิ่มแทงทะลวงอยู่บนหอกยาว โดยเฉพาะยอดขุนพลที่มีพลังแก่กล้าพวกนั้น ตอนมีชีวิตติดตามราชาหัวใจราชสีห์ออกศึก มีพลังบำเพ็ญสูงจนน่าตกใจ ตายไปแล้วด้วยพันธนาการต่างๆ จึงถูกวัตถุแห่งมหาสุริยะกำราบ ได้ทำอะไรตนไม่ได้
หนิงอี้ทำการใหญ่ก่อนออกจากสุสานราชาหัวใจราชสีห์
ตอนที่สัมผัสจุดแปลก เขาใช้ยันต์มารดาบุตรของเผยฝาน ทำสัญลักษณ์ไว้ที่นั่น ฟ้าดินเล็กนั้นพิเศษยิ่ง หากเป็นไปได้ หนิงอี้ก็อยากจะไปอีกครั้ง…
เขาบีบยันต์ค่ายกลมารดาบุตร ค่ายกลนี้เชื่อมระหว่างสองมิติได้ วางจุดแปลกใหม่ได้ หนิงอี้ลองสัมผัสดู นัยน์ตาเขาก็เผยความเสียดายที่ตรวจพบได้ยาก สัมผัสไม่ได้จริงๆ จุดแปลกในสุสานราชาหัวใจราชสีห์เหมือนเมล็ดข้าวในมหาสมุทรดารากว้างใหญ่ ไม่อาจเลือกออกมาได้
แม้ราชาหัวใจราชสีห์จะใจกว้าง ยินดีไว้ชีวิตผู้บุกรุกที่มีชีวิตรอดผ่านค่ายกลสังหารสุสานเขามาได้ กระทั่งยินดีมอบโชคลิขิต แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นตนเช่นกัน!
หนิงอี้เก็บยันต์นั้นในแขนเสื้อ ตอนนี้เขาอยู่ก้นสำนักศึกษา บางทีที่ใช้ยันต์ไม่ได้ก็อาจจะเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่นี่
“หนิงอี้…เรื่องที่เราบุกสุสานสำนักศึกษาสำเร็จอย่าได้บอกใครเชียว ส่วนสิ่งที่เห็นและได้ยินในสุสานราชาหัวใจราชสีห์ ข้าจะสลายมันไว้ในใจ” อู๋เต้าจื่อมองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ห้ามให้มีใครบุกสุสานจักรพรรดิอีก นี่เป็นที่รู้กันมาตลอดหลายพันปีใต้ฟ้าต้าสุย หากกรณีตัวอย่างนี้ถูกเราทำลาย มีโอกาสสูงมากที่ชีพจรฮวงจุ้ยอาจจะเจอกับหายนะทำลายล้างได้”
หนิงอี้พยักหน้า เขาให้คำสัญญาเบาๆ “เรื่องนี้ เจ้าวางใจได้เลย”
นักบวชพยักหน้า
เขามองไปรอบๆ มองเส้นทางสุสานใหญ่ วัตถุโบราณอมฝุ่น ของทั้งหมดคลุมด้วยฝุ่นหนึ่งชั้น ดูเก่าแก่และผ่านเวลามาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้ดูแล้วไม่ลึกลับอีก
เสียงอู๋เต้าจื่อมีความเย็นยะเยือกนิดๆ
“เดิมทีข้าคิดว่า…สำนักศึกษามีวิธีการเปลี่ยนสิ่งเน่าเสียเป็นสิ่งอัศจรรย์ ทำให้คนตายคืนชีพมาได้อย่างแท้จริง แม้จะแค่พริบตาเดียวข้าก็ยอม” เขายิ้มเย้ยเยาะตนเอง “จุดแปลกพวกนี้เชื่อมไปสุสาน คนที่นอนหรือวางในโลงนั้น บางคนเป็นยอดผู้บำเพ็ญที่หลับใหลตลอดกาล ได้หลับอย่างสงบ บางคนเป็นผู้เลี่ยงเจตนารมณ์สวรรค์ที่หลับใหลยาวนานแต่ก็ยังไม่ตาย อายุขัยไม่สิ้น ยืดเวลาหายใจอยู่ที่นี่”
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก
“หากจวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เจอกับการโจมตีที่ไม่อาจต่อต้านได้จริงๆ ยอดผู้บำเพ็ญโบราณพวกนี้อาจจะฟื้นกลับมา เป็น ‘บรรพจารย์’ รับหายนะบางส่วนแทนทายาทชนรุ่นหลัง” อู๋เต้าจื่อก้มหน้าลง พูดงึมงำ “นี่คือไพ่ตายของพวกเขา…แต่ไพ่ตายเช่นนี้ เขาศักดิ์สิทธิ์ใดไม่มีบ้าง”
หนิงอี้รู้ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายจะเลือกสร้างสุสานไว้ใต้เขาสำนัก บรรพจารย์ที่เข้าใจวิชาหลบเจตนารมณ์สวรรค์ เหมือนตายแต่ยังไม่ตายบางส่วน ก็คือไพ่ตายที่ฝังไว้ใต้สำนัก
“แม้แต่ราชาหัวใจราชสีห์ยังไม่อาจหนีพ้น…โลกนี้ ไม่มีวิชาคืนชีพอยู่จริงๆ หรอก” อู๋เต้าจื่อชิดผนังหิน แววตาเขาเฉยชา “ธารน้ำเวลาไม่อาจหวนกลับ ฝึกบำเพ็ญถึงช่วงสุดท้ายก็ยังเป็นความว่างเปล่า”
หนิงอี้ไม่รู้จะปลอบใจนักบวชอย่างไร พลังบำเพ็ญของอู๋เต้าจื่อไม่สูงเท่าไร กลับยินดีเข้าออกสุสานแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อสตรีคนหนึ่ง เดินทางพันหมื่นลี้ หากตามหาสมบัติล้ำค่าพันตำลึงทองก็คงหาเจอไปนานแล้ว
แต่จะถามหาวิชาคืนชีพ เรื่องนี้ ถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้วว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน
“ไปเถอะ…” อู๋เต้าจื่อกลับมาเป็นปกติ ฉีกยิ้ม รวมคัมภีร์แสวงมังกรสมบูรณ์แล้ว เขาหาจุดแปลกเข้าออกสุสานพบได้ จึงกลับจากที่นี่ไปจวนภูเขาครามได้ จากนั้นซ่อนกลิ่นอายพลังไปจากจวนขานฟ้า
“หนิงอี้ ข้าไม่ได้หมดหวังไปเสียทุกอย่าง ได้ยินว่าทางทะเลพลิกผันยังมีซากโบราณเก่าแก่ที่คืนชีพคนได้…ข้ามีคัมภีร์แสวงมังกรสมบูรณ์แล้ว ไปได้ทุกแห่งหนในใต้ฟ้า” อู๋เต้าจื่อจ้องหนิงอี้ “ข้ามีของชิ้นหนึ่ง เจ้าช่วยชีวิตข้าในสุสานจักรพรรดิ…ข้าจะให้เจ้า”
หนิงอี้มองนักบวชเอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อใหญ่ ยื่นฝ่ามือออกมาช้าๆ กลางมือวางกระดองเต่าใสแวววาว กระดองเต่านี้มีขนาดเท่ากำปั้นทารก ไม่รู้ผ่านการกัดกร่อนจากเวลามานานเท่าไรเปลือกนอกมีรอยลึกหลายรอย ดูเหมือนรอยดาบหรือรอยกระบี่
“กระดองเต่านี้ได้มาจากสุสานเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา…ตอนนั้นข้าละโมบ อดใจยื่นมือเข้าไปคว้าไว้ไม่ได้” อู๋เต้าจื่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยมาทีละคำ “ในสุสานของภูเขาศิลาเต่า คัมภีร์สะท้านมังกรกับคัมภีร์กังขามังกรยังไม่รวมกัน ข้าคาดการณ์ว่าในรูปปั้นของเจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกในสุสานมีสมบัติสุดยอดอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่คาดการณ์ว่าไม่ได้มีจิตสังหารตามออกมาด้วย…เป็นสมบัติชิ้นนี้ ที่ทำให้ข้าต้องเสีย ‘โอกาสแกล้งตาย’ ที่อาจารย์ให้ข้าไว้ไปเปล่าๆ ครั้งหนึ่ง”
หนิงอี้รับกระดองเต่ามาเล่นดู เขามีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย กระดองเต่านี้เย็นๆ มือ ไม่มีพลังชีวิตใดๆ ในโลกเลย มองทีแรกก็รู้ไม่ใช่ของธรรมดา แต่แสงดาราเข้าไปไม่ได้ ไม่รับพลังงานใดๆ ดูเหมือนเครื่องประดับที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม
ทั้งไม่น่ามอง ทั้งไม่มีประโยชน์ ไอรีนโนเวล
อู๋เต้าจื่อพูดอย่างจริงจัง “กระดองเต่านี่แข็งมาก สมบัติที่ทำให้เจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาออกมือกำราบทั้งสุสานภูเขาศิลาเต่าได้ จะเป็นของธรรมดาได้อย่างไร
เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่ากระดองเต่านี่ใช้อย่างไร…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงนักบวชมีความเก้อเขินเล็กน้อย “เจ้าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ภูเขาศิลาเต่าแดนบูรพาตามหามาหลายร้อยปีแล้ว ยังหาสมบัติประจำสุสานที่ซ่อนในรูปปั้นไม่พบเลย หากเชื่อดวงชะตา กลัวถูกภูเขาศิลาเต่าตามมา ก็คืนกระดองเต่าให้ข้าได้ ข้าจะค่อยๆ ศึกษามันเอง”
หนิงอี้ได้ยินดังนั้นก็รีบพลิกข้อมือกำกระดองเต่าไว้ในมือ ยิ้มหยีตา “เจ้าวางใจเถอะ ข้ารับรองว่าจะศึกษากระดองเต่านี่จนเข้าใจอย่างแน่นอน”
แข็งมาก…
ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ ความจริงก็ไม่มีประโยชน์มาก…
หนิงอี้นึกไปถึงขลุ่ยกระดูกของตน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะใส่ความเป็นเทพไปในกระดองเต่า เขาไม่ปฏิเสธเจตนาดีของนักบวช จึงรับกระดองเต่านี้ไว้
“เจ้าจะออกจากเมืองหลวงรึ” หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น
“ก็อาจจะออกจากต้าสุย…” อู๋เต้าจื่อพ่นลมหายใจขุ่น เขามองสุสานพลางพูดพึมพำ “หากสักวันข้าเหนื่อยล้า อ่อนแรง จะตายแล้ว ข้าจะไม่ขุดสุสานให้ตัวเองเด็ดขาด ตายก็ตายไปแล้ว และยังต้องมาต่อสู้แย่งชิงกันลับๆ อีก ไม่เหนื่อยรึ”
นักบวชยิ้ม เขาตบบ่าหนิงอี้ “ชีวิตคือเรื่องราวที่ล้ำค่า เจ้าต้องรักษาไว้ให้ดีๆ อย่าตายไปเช่นนี้…มันน่าเสียดาย”
หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขาเข้าใจหน่อยๆ ว่าตอนนี้ อู๋เต้าจื่อพูดเรื่องพวกนี้กับตนหมายความว่าอย่างไร…
“ฝากบอกขอโทษเวินเทาให้ด้วย”
อู๋เต้าจื่อยิ้มหัวเราะอย่างอ่อนโยน
เขาสัมผัสจุดแปลก หันกลับมามองหนิงอี้ พูดด้วยแววตาซับซ้อน “อีกอย่าง…
ความจริงแล้ว ข้ากับสวีจั้งถือว่าเป็นสหายเก่ากันครึ่งหนึ่ง”
แขนเสื้อของอู๋เต้าจื่อเริ่มลอยขึ้นช้าๆ
เขายิ้ม ก้มหน้าลงพูดพึมพำ “บางทีเขาอาจจะไม่รู้จักข้าเลยก็ได้”
นักบวชพ่นลมหายใจ พูดเบาๆ “ข้าเคารพการตัดสินใจของเขาในตอนนั้น แต่ข้าอภัยให้เขาไม่ได้…หากเป็นข้า ข้าจะไปช่วยนาง”
หนิงอี้อึ้งงัน
เขาเข้าใจว่า ‘นาง’ ที่นักบวชพูดถึง คือใคร…
บนโลกนี้มีแม่นางคนหนึ่ง ที่เหมาะสมกับอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือยุทธภพมากที่สุด
ตอนนั้น ใต้ฟ้าต้าสุยใหญ่มาก แต่กลับมีเพียงสี่คำที่เหมือนสายฟ้าผ่านหู
อาจารย์อาน้อยเซียนกระบี่ที่แหงนหน้ายังไม่อาจมองเห็นคนนั้น โดดเดี่ยวและคิดว่าตนแน่ที่สุด สำหรับคนมากมาย เป็นที่เคียดแค้นและเกลียดชัง สำหรับโจรปล้นสุสานต่ำต้อยที่อยู่ในเงามืดตลอด แสงทั้งหมดสว่างจ้าแสบตา ดังนั้นจึงได้รู้สึกอิจฉา
เดินเส้นทางยาวที่ผู้คนมากมายประจบ จนเดินมาถึงสุสานที่หลับใหลชั่วนิรันดร์อย่างโดดเดี่ยว
ชื่อเสียงที่เหลือล้นกับโครงกระดูกที่สวยงาม มีดินทรายที่ใหม่เอี่ยมและเน่าสลาย
ผู้ชิงแสงไฟ ขโมยแสงสว่างใต้หล้า ส่องสว่างป้ายหลุมศพของคนหนึ่ง
อู๋เต้าจื่อไม่มองหนิงอี้อีก ฝ่ามือกดผนัง ครั้งนี้ออกจากจวนภูเขาคราม เขายังคงตามหาวิชาคืนชีพ ไม่ใช่เพื่ออะไร แค่เพื่อสำเร็จปณิธานก่อนตาย
คนต่ำต้อยก็รักคนเป็นเหมือนกัน
คนที่ไม่ถูกรักก็รักคนเป็นเหมือนกัน
แม้ว่าแม่นางคนนั้นจะไม่รู้จักตน…ความจริงก็ไม่ต้องสนใจก็ได้
…………………….