ฟีนิกซ์นิพพาน-ตำนานหยวนชิงหลิง - บทที่ 199 พามาขอโทษ
หลายปีที่ผ่านมานั้น ตระกูลฉู่รังแกผู้อื่นเสียมากมาย หากแต่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นฉู่โสวฝู่มาขอโทษผู้ใดยันหน้าประตูจวนมาก่อนเลย อีกทั้งวันนี้ยังพาฉู่หมิงหยางมาขอโทษนางอีก? พังพอนมาสวัสดีปีใหม่ให้กับไก่ พวกเขาไม่มีทางมาดีอย่างแน่นอน
อวี่เหวินฮ่าวพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาออกมาว่า “มาก็ดี เปิ่นหวางก็อยากจะรู้เช่นกันว่า ฉู่โสวฝู่จะสามารถปิดแผ่นฟ้าได้มือเดียวแล้วจะสามารถถือตนเหนือกว่าราชวงศ์ได้หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงพลันดึงมือของอวี่เหวินฮ่าวไว้ พร้อมกล่าวออกมาด้วยความกังวลว่า “ท่านอย่าได้วู่วามเกินไปนัก ข้ากลัวว่าท่านจะควบคุมตนเองไม่ได้”
หากเป็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว จักรพรรดิถึงจะสามารถมอบบทลงโทษให้ฉู่โสวฝู่ ทว่า ชินอ๋องธรรมดานั้นยังไม่สามารถทำได้ นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าอับอายยิ่งนัก
“วางใจเถิด ข้ามิได้จะไปคิดบัญชีกับฉู่หมิงหยาง นางในยามนี้ก็เป็นคนที่ดูเสมือนว่าจะอายุสั้นที่สุดอยู่แล้ว ผู้ที่ใกล้ตายนั้น ข้าไม่จำเป็นจะต้องลงมือแต่อย่างใด” อวี่เหวินฮ่าวพูดออกมาด้วยท่าทีที่สงบลง
หยวนชิงหลิงพลันมองไปที่อวี่เหวินฮ่าวพร้อมกล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจังว่า “ไม่ เราไม่จำเป็นต้องลงโทษฉู่โสวฝู่ หากแต่ฉู่หมิงหยางนั้นต้องสั่งสอนนางสักหน่อย พวกเราควรเลือกรังแกผู้ที่อ่อนแอฉู่โสวฝู่นั้นแข็งแกร่งเกินไป เราไม่สามารถรังแกเขาได้ หากเป็นฉู่หมิงหยางนั้นพวกเราคงจัดการนางได้ไม่ยาก”
“เป็นความคิดที่ดี ความคิดที่ดี !”อวี่เหวินฮ่าวกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม
อวี่เหวินฮ่าวจึงให้ข้ารับใช้ไปเชิญฉู่โสวฝู่และฉู่หมิงหยางไปนั่งรออยู่ที่ห้องโถง ฉู่หมิงหยางยืนขึ้น มีเพียงฉู่โสวฝู่ที่นั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้
เมื่อเห็นว่าอวี่เหวินฮ่าวเดินเข้ามานั้น ฉู่โสวฝู่พลันลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน หากแต่ก็ไม่ลืมที่จะอวดโฉมความมีอำนาจออกมาให้เห็น พร้อมทั้งก้มลงโค้งคำนับ “กระหม่อมขอเข้าเฝ้าท่านอ๋องพะยะค่ะ!”
การที่เห็นศัตรูอยู่ตรงหน้า แต่ยื่นมือออกไปจัดการไม่ได้นั้น จึงทำให้อวี่เหวินฮ่าวต้องควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธของตนเองให้ดี “ท่านโสวฝู่มิต้องมากพิธี เชิญนั่ง !”
ฉู่โสวฝู่มิได้นั่งลง หากแต่รอจนกว่าอวี่เหวินฮ่าวนั่งลงเสร็จแล้ว จึงหันไปตวาดด้วยความโมโหว่า “เจ้ายังไม่นั่งคุกเข่าลงขอขมาต่อท่านอ๋องอีกหรือ?”
ฉู่หมิงหยางพลันตกใจเสียสิ้นสติ การมาขออภัยที่จวนอ๋องในครั้งนี้ ฉู่หมิงหยางมิได้ต้องการที่จะมา หากแต่นางโดนท่านตาบังคับ นางจึงได้แต่ต้องเชื่อฟังในคำสั่งเท่านั้น อีกทั้ง ไม่นานนี้นางจะต้องเป็นพระชายารองของจี้อ๋องแล้ว ถือได้ว่าเป็นพี่สะใภ้ของฉู่อ๋องเช่นกัน หากครั้งนี้มิมาร้องขอขมาต่อท่านอ๋องแล้วไซร้ หลังจากนี้คงมิรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง ฉู่หมิงหยางไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดท่านตาถึงต้องเกรงกลัวต่อฉู่อ๋องยิ่งนัก. อีกทั้งยังมาให้ความสนใจต่อเด็กในท้องของหยวนชิงหลิงอีก เด็กคนนี้หลุดออกไปจากท้องของนางจึงจะถูกมิใช่หรือ
“คุกเข่าลงไป !”ฉู่โสวฝู่เมื่อเห็นฉู่หมิงหยางขัดขืนเช่นนั้น จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เข็มงวดขึ้น
เมื่อฉู่หมิงหยางได้ยินคำตวาดราวกับสายฟ้าฟาดเข้ามาเช่นนี้ ภายในใจพลันตกตะลึงยิ่งนัก พร้มกับนั่งคุกเข่าลงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องการและไม่ยอมรับก็ตาม ทว่าก็ทำได้เพียงกล่าวคำขอโทษออกไป “ยามที่อยู่ในพระราชวังในวันนี้นั้น หม่อมฉันกล่าวคำพูดออกไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองให้ดี ถึงได้ทำให้พระชายาเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก หวังว่าท่านอ๋องและพระชายาจะให้อภัยในความรู้เท่าไม่ถึงการของหม่อมฉันด้วยเพคะ”
อวี่เหวินฮ่าวมองไปที่ฉู่หมิงฉุ่ยเล็กน้อย พร้อมทำเป็นหูทวนลมมิได้ยินในสิ่งที่ฉู่หมิงหยางเพิ่งกล่าวออกมาเมื่อครู่ หากแต่หันไปบอกกล่าวกับข้ารับใช้ว่า “มานี่ มาเปลี่ยนถ้วยชาให้ฉู่โสวฝู่เสีย”
ฉู่หมิงหยางโมโหเสียทั่วร่างพลันสั่นเทา ฉู่อ๋องผู้นี้จงใจทำให้นางขายขี้หน้า จนทำให้ฉู่หมิงหยางอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาว่า “ท่านอ๋องเพคะ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้หม่อมฉันจะมีส่วนผิด หากแต่เรื่องที่เกิดขึ้นล้วนแต่มีเหตุผลของมัน ท่านอ๋องได้โปรดตรวจสอบเรื่องราวด้วยเพคะ”
ฉู่โสวฝู่พลันกวาดสายตามองไปที่ฉู่หมิงหยางด้วยความเย็นชา ภายในใจของฉู่หมิงหยางรู้ดีว่าในยามนี้ท่านตาของนางไม่พอใจนางเป็นอย่างมาก หากแต่เขาไม่ควรจะสูญเสียความเคารพต่อตนเองไปเช่นนี้เช่นกัน “ท่านอ๋องเพคะ เป็นพระชายาฉู่อ๋องที่พูดจาสบประมาทต่อพี่สาวของหม่อมฉันก่อน หม่อมฉันอดทนดูไม่ได้ จึงได้เอ่ยวาจาทำร้ายจิตใจของนางไปสองสามประโยค หม่อมฉันรู้ดีเพคะ ว่าการออกหน้าต่อพี่สาวของตนเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ทว่า เรื่องนี้เราสามารถให้อภัยกันได้”
นางรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นพี่สาวของนางที่เปลี่ยนใจไปเสียก่อน ที่ไม่ต้องการแต่งให้ฉู่อ๋อง หากแต่ฉู่อ๋องโง่งมยิ่งนักถึงมิได้รู้เรื่อง ในยามนี้เขาก็ยังหลงรักพี่สาวของนางอยู่ ถ้าหากฉู่อ๋องรู้เรื่องที่หยวนชิงหลิงกระทำต่อพี่สาวของนางแล้ว พูดจาดูถูกต่อพี่สาวนางแล้วละก็ผู้ใดจะทนไหวได้กัน
อวี่เหวินฮ่าวกำลังครุ่นคิดกับวิธีจัดการกับฉู่หมิงหยางอยู่นั้น เมื่อได้ยินนางพูดประโยคเมื่อครู่ขึ้นมา อวี่เหวินฮ่าวจึงยิ่งโมโหขึ้นไปอีก พร้อมกล่าวออกมาด้วยท่าทีเย็นชาว่า “ไปเชิญซีมามามาเดี๋ยวนี้”
แต่เดิมฉู่โสวฝู่กำลังจะกล่าวเอ็ดฉู่หมิงหยางนั้น. เมื่อได้ยินอวี่เหวินฮ่าวกล่าวออกมาเมื่อครู่ จึงได้เก็บปากเงียบต่อไป พร้อมทั้งค่อยๆดื่มชา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซีมามาจึงได้เดินเข้ามาในทันที
ฉู่โสวฝู่พลันเงยหน้าขึ้นไปมองซีมามา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเข็มงวดและเคร่งขรึมราวกับมีแสงอะไรบางอย่าง ที่นางมิเห็นฉู่โสวฝู่เป็นเช่นนี้มาก่อน ฉู่โสวฝู่พลันยืนขึ้นพร้อมทั้งพยักหน้าให้ รอจนซีมามาทำความเคารพจนเสร็จ ฉู่โสวฝู่ถึงได้นั่งลง
เมื่อฉู่หมิงหยางเห็นท่านตาของตนให้ความเคารพต่อซีมามานั้น สีหน้าของฉู่หมิงหยางพลันค่อยๆซีดลง
อวี่เหวินฮ่าวจึงกล่าวว่า “ซีมามา วันนี้เจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน ไหนเจ้าลองเล่าสิ พระชายาฉู่อ๋องกล่าววาจาดูถูกพระชายาฉีอ๋องอย่างไรกัน?”
ซีมามาพลันมองมาที่ฉู่หมิงหยางด้วยความเย็นชา พร้อมกล่าวออกมาว่า “ที่ลานตำหนักด้านนอกของเรือนไทเฮานั้น คุณหนูรองพลันกล่าววาจาจาบจ้วงพระชายาเพคะ แล้วจึงถูกพระชายารองหยวนอบรมไปรอบหนึ่ง. หลังจากที่กำลังจะออกจากพระราชวังนั้น ก็ได้พบกับพระชายารองฉีอ๋องและคุณหนูรองอีกครั้งหนึ่ง พระชายาฉีอ๋องได้กล่าวคำขอโทษแทนคูณหนูรองเพคะ ทั้งสองพูดกันอย่างสุภาพมิได้มีผู้ใดว่ากล่าวผู้ใด หากแต่มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับคุณหนูรองถึงได้กล่าววาจาวิพากษ์วิจารณ์พระชายาอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งกล่าวว่าพระชายามารับตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องนั้นได้มาจากการใช้วิธีที่สกปรก และยังว่ากล่าวที่ภูมิหลังครอบครัวที่ต่ำต้อยของพระชายาอีก ในขณะนั้น ทั้งพระชายาฉีอ๋องและพระชายาเองก็มิได้มีผู้ใดพูดถึงคำพูดที่น่ารังเกียจขึ้นมาเลยเพคะ แน่นอนว่า พระชายาฉีอ๋องก็มิได้กล่าวว่าจาหักห้ามคุณหนูรองแต่อย่างใด ยามที่คุณหนูรองล่าววาจาจาบจ้วงพระชายา ”
“เจ้า เจ้าเป็นแค่ข้ารับใช้” ฉู่หมิงหยางโมโหขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งเกลียดซีมามาเข้ากระดูกดำ มิเข้าใจว่าเหตุใดท่านตาถึงต้องฟังคำนางนัก ” เจ้ากล้ากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมา เพื่อใส่ร้ายป้ายสีข้าเชียวหรือ ?”
ฉับพลันถ้วยชาก็หลุดลอยออกจากมือของฉู่โสวฝู่ไปในทันที สิ่งของที่แข็งแรงเช่นนี้พลันตกลงไปกระทบบนหน้าผากของฉู่หมิงหยางในทันใด
“เพล้ง” หนึ่งเสียง ถั่วชาตกกระทบลงที่พื้น ก่อนที่ถ้วยชาจะตกกระทบลงบนพื้นนั้น น้ำชาทั้งหลายได้หกรดไปที่ตัวของฉู่หมิงหยางจนหมดแล้ว
ถ้วยชาถ้วยนี้ เป็นถ้วยที่ฉู่อ๋องได้เรียกให้ข้ารับใช้ทำการเปลี่ยนให้คือถ้วยชาหลงจิ่ง ใช้น้ำแร่ในการต้มใบชา ผู้คนเล่าวว่า ถ้วยชาหลงจิ่งนั้น ราคาของมันอยู่ที่สามร้อยตำลึงเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญคือมันถูกต้มด้วยความร้อนแล้ว
อวี่เหวินฮ่าวจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกข้ารับใช้ว่า “เอามาอีกใบ” ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ พร้อมกวาดตามองไปทั่วร่างของฉู่หมิงหยางที่ล้มลงบนพื้น ด้านบนหน้าผากมีรอยแดงขนาดใหญ่ ยามที่ถ้วยชากระทบไปที่หัวนั้น ยังฝากร่องรอยเลือดที่ไหลซึมออกมาอีกด้วย
อวี่เหวินฮ่าวพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่เย็นชาว่า “โสวฝู่ระงับอารมณ์โกรธเถิด เด็กไม่รู้ความเช่นนี้ ต้องค่อยๆบอกค่อยๆสอนถึงจะถูก”
แต่แรกอวี่เหวินฮ่าวเข้าใจว่าฉู่โสวฝู่กำลังแสดงอยู่ จึงมิรู้ว่าอวี่เหวินฮ่าวกำลังเฝ้ามองการกระทำของเขา แววตาของเขาจึงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธเป็นอย่างมาก
อวี่เหวินฮ่าวพลันชะงักไปครู่หนึ่ง เจ้าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้แสดงจบแล้วหรือ ?
“พวกเจ้าเข้ามานำตัวคุณหนูรองกลับจวนเสีย. หากมิมีคำสั่งจากข้า อย่าได้ให้คุณหนูรองก้าวขาออกจากห้องตนเองเลยสักก้าว!” ฉู่โสวฝู่กล่าวออกมาด้วยความโมโห
องครักษ์ที่ติดตามมานั้น จึงได้เรียกให้ข้ารับใช้มาพาฉู่หมิงหยางกลับจวนไปในทันที ร่างกายของนางพลางอ่อนแรงไปครึ่งหนึ่ง หน้าผากพลันรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก. ฉู่หมิงหยางอดไม่ได้ทีจะร้องให้ออกมา ทั่วร่างเต็มไปด้วยความอับอาย นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดท่านตาถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วย เมื่อคิดไปถึงคำพูดของพี่สาวที่กล่าวว่า ท่านยายสูญเสียเสียงของตนเองไปนั้นเป็นฝีมือของท่านตา ภายในใจของนางจึงเกิดความรู้สึกหวากลัวขึ้นมาในทันที ต่อไปนี้นางไม่กล้าต่อต้านอีกแล้ว
อวี่เหวินฮ่าวพลันหันไปมองที่ฉู่โสวฝู่ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงใจออกมาว่า “โสวฝู่ระงับอารมณ์โกรธเถิด เรื่องนี้เปิ่นหวางมิถือสาหาความอันใดอีกแล้ว”
อีกทั้ง ถ้วยชาก็ถูกขว้างออกไปแล้ว และยังน้ำร้อนที่ถูกราดบนผิวหนังอีก ผิวที่บอบบางอย่างไรก็ต้องมีรอยแผลเป็นหรือรอยตุ่มพอง เกรงว่าภายในหนึ่งถึงสองปีนั้น รอยแผลเป็นก็คงยังไม่จางหายไปโดยง่ายแน่ สำหรับสตรีคนหนึ่งแล้วนี่ถือเป็นการลงโทษของนาง
ถึงยามที่ต้องอภัยก็ต้องอภัย
ฉู่โสวฝู่พลันค่อยๆยิ้มออกมา “ต้องให้ท่านอ๋องมาเห็นเรื่องที่น่าขันเช่นนี้แล้ว”
อวี่เหวินฮ่าวพลันกล่าวออกมาว่า “ตระกูลไหนที่ยังไม่มีทายาทก็ถือว่าไม่สามารถสืบสกุลได้ใช่หรือไม่ ?” หากว่ากันตามจริงแล้วบุตรหลานของตระกูลฉู่ล้วนแต่มีนิสัยหยิ่งผยองไปกันหมด
ฉู่โสวฝู่จึงหันมาถามซีมามาว่า “อาการของพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซีมามากล่าวว่า “หมอหลวงมาตรวจชีพจรแล้วเพคะ ช่วงนี้ยังต้องนอนอยู่แต่บนเตียงเพื่อรักษาตัว หากแต่ไม่เป็นอันตรายอันใดแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี!” ฉู่โสวฝู่พลันเรียกสาวใช้ให้เข้ามา ในมือของสาวใช้พลันถือกล่องผ้าใบหนึ่ง ฉู่โสวฝู่จึงได้ให้สาวใช้วางกล่องผ้าลงบนโต๊ะ พร้อมกล่าวออกมาว่า “ในนี้มียาอยู่หนึ่งเม็ด เป็นยาที่ทำออกมาเพื่อสตรียามใกล้คลอดโดยเฉพาะ เชิญมามาเก็บไว้ให้พระชายาเสีย ของเช่นนี้กันไว้ดีกว่าแก้”
ซีมามาเดินเข้าไป พร้อมทั้งเปิดกล่องผ้านั้นออกมา พลันเห็นมีกระดองเต่าอยู่ด้านในกล่อง. เมื่อเปิดออกมานั้น จึงได้กลิ่นสมุนไพรที่คุ้นเคยคลุ้งไปทั่วห้อง ซีมามาพลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ยาคลายกังวลผดุงครรภ์?”
“คืออันใดกัน ?” อวี่เหวินฮ่าวถามออกมาเมื่อได้กลิ่นเหม็นของยาโชยออกมา
ซีมามาจึงอธิบายออกมาว่า “นี่เป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับการปกป้องทารกในครรภ์เพคะ เป็นยาของหลงไทเฮาของแคว้นต้าโจว ผู้คิดค้นคือฟู้ชิงฟางยาจับซาไท้เป้า ที่ถูกปรับปรุงโดยหลงไทเฮา ไว้ใช้รักษาสำหรับ เด็กที่คลอดก่อนกำหนด หรือเกิดปัญหาระหว่างคลอด ถึงจะสามารถใช้ยาชนิดนี้ได้เพคะ”
ซีมามาพลันหันไปมองฉู่โสวฝู่ พร้อมความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมา “ยาชนิดนี้หายากเป็นอย่างมาก”
ฉู่โสวฝู่จึงกล่าวว่า “เมื่อครั้งที่ฮองเฮาตั้งครรภ์นั้น ถือเป็นโชคดีที่ข้าได้ไปแคว้นต้าโจว เมื่อไทเฮาได้ยินว่าฮองเฮากำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จึงได้ให้ยาชนิดนี้มากับข้าหลายเม็ด ในยามนี้เหลือเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น ข้าจึงมอบมันให้แก่พระชายา หวังว่าพระชายาจะคลอดท่านอ๋องน้อยออกมาอย่างปลอดภัย”