หลงรักเมียเจ้าเล่ห์ / ภรรยาที่น่าเกลียดของฉันเป็นคนสวย หรือไม่? - ตอนที่ 858 ช่วงเวลาแห่งความสุข
- Home
- หลงรักเมียเจ้าเล่ห์ / ภรรยาที่น่าเกลียดของฉันเป็นคนสวย หรือไม่?
- ตอนที่ 858 ช่วงเวลาแห่งความสุข
ตอนที่ 858 ช่วงเวลาแห่งความสุข
พวกเขานั่งรออยู่ตรงหน้าห้องไปราวๆสามชั่วโมงแล้ว
จนกว่าแสงไฟของห้องผ่าตัดจะดับลง และหมอก็เดินออกจากในนั้น จิดาภาและปวีร์และพันเดชจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาหมอ
“หมอครับเป็นยังไงบ้างครับ?”
“หมอค่ะ เป็นยังไงบ้างค่ะ?”
ปวีร์และจิดาภาก็เอ่ยพูดขึ้นพร้อมกัน
หมอจึงถอดหน้ากากลง แล้วมองพวกเขา “การผ่าตัดผ่านไปอย่างราบรื่นครับ!”
พอได้ยินข่าวนี้ ก็ทำให้จิดาภาและปวีร์รู้สึกโล่งอกไปไม่น้อย “ขอบคุณค่ะคุณหมอ ขอบคุณค่ะ!”
“ยินดีครับ นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว แต่มีจุดหนึ่งอยากจะให้ญาติผู้ป่วยระวัง การผ่าตัดได้ลุล่วงไปด้วยดี ทว่าก็ต้องมีอาการหลังจากนี้อีกที ถ้าไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิดปรากฎขึ้น นี่จึงจะถือว่าสำเร็จจริงๆ!”
“งั้น ถ้ามันเกิดละครับ!?” ปวีร์ถามขึ้นด้วยความกังวล
“เท่าที่ทางเราได้ทดลองกันมา หัวใจที่บริจาคมากับของเขามันเหมาะสมกับร้อยละแปดสิบเลยนะครับ แต่ว่าในบางเคสที่เป็นเคสพิเศา อาจจะเกิดการต่อต้าน……และหวังว่าพวกคุณจะเตรียมใจไว้ด้วยนะครับ อีกสี่สิบแปดชั่วโมงหลังจากนี้เป็นเวลาที่สำคัญมาก ถ้าไม่เกิดอาการต่อต้านใดๆ งั้นก็ถือว่าได้ลุล่วงไปด้วยดี!”
ก็หมายความว่า ตอนนี้การผ่าตัดนั้นสำเร็จ ไม่ได้แปลว่าเปศลจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ยังไงก็ต่อดูว่าอาการที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
จิดาภามองปวีร์ “ต้องไม่เป็นไร!”
ปวีร์พยักหน้า
“เดี๋ยวหมอจะย้ายผู้ป่วยไปห้องผู้ป่วยธรรมดา พวกคุณค่อยเข้าไปกันทีหลังนะครับ!”
“ขอบคุณครับ!”
หลังจากที่หมอจากนั้น พวกเขาต่างก็หายใจหอบหืดกัน
พันเดชอยู่ข้างเธอ “ไหนๆฟ้าก็ได้นำพาเราเดินมาถึงจุดๆนี้แล้ว ผมเชื่อว่าต่อไปก็คงไม่ใจร้ายกับเรา ต้องไม่เป็นไรแน่นอน!”
จิดาภาพยักหน้า แล้วมองพันเดช
ทั้งสามเดินไปตรงห้องผู้ป่วย เปศลนอนอยู่ทางนั้น ดวงตาทั้งสองค้างกำลังปิดอยู่ เหมือนกำลังนอนหลับอยู่เลย
“ชาขิง มุ้งมิ้งต้มให้คุณโดยเฉพาะเลยนะ แบบนี้คุณจะได้ไม่เป็นหวัด!”
“ผมร่างกายแข็งแรงมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วง!”
“แต่ก็ต้องดื่มนะ!”
จิดาภาทำท่าทางที่ยืนหยัดมากๆ พอเห็นว่าพันเดชจะไม่ดื่ม เธอจึงทำท่าทางที่ไม่ยอมง่ายๆ
พันเดชพยักหน้า แล้วดื่มมันลงไป
พอเห็นเขาดื่มอย่างเชื่อฟัง จิดาภาก็รู้สึกวางใจ และพึ่งจะไปเก็บของ เวลานี้จู่ๆพันเดชก็ยื่นมือมาจับเธอไว้
“พรุ่งนี้ค่อยเก็บเถอะ ผมง่วงแล้ว ไปนอนกับผมนะ!”
จิดาภามองเขาแล้วพยักหน้า ทั้งสองจึงนอนลงบนเตียง จิดาภาพิงอยู่บนเรือนร่างของพันเดช ทั้งสองไม่พูดไม่จา แค่หลับตาแล้วนอนหลับไป
“คุณวางใจเถอะ ต้องไม่เป็นไรแน่นอน!” พันเดชพึมพำออกเสียง จิดาภาเงยหน้าขึ้น แล้วอยากจะพูดอะไรออกมา พันเดชกลับหลับไปแล้ว
ในตอนเวลากลางคืน แสงจันทร์ที่สว่างไสวกำลังสอดส่องผ่านกระจก ทำให้ดูเป็นแสงที่สลัวเล็กน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน พันเดชเปลือยกายและนอนอยู่บนเตียง แล้วยังกอดเธออยู่ แอร์ในห้องหนาวเล็กน้อย ทว่าเขากลับนอนได้อย่างสบาย
ตลอดหลายวันมานี้เขาต้องยุ่งกับเรื่องของเธอ เขาแทบจะนอนไม่หลับ ตอนนี้จึงสามารถนอนหลับสนิทสักที
จิดาภารู้สึกปวดใจขึ้นมา
ทันใดนั้น เธอจึงแอบเอาเอาแขนของเขาที่กำลังกอดเธอไว้ แล้วลงจากเตียง จากนั้นก็ไปปรับอุณหภูมิของแอร์ให้อบอุ่นขึ้น และปรับในอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้จิดาภาต้องกระตุกมุมปากขึ้นอย่างน่าพอใจ จากนั้นก็กลับไปบนเตียงอีกครั้งแล้วกอดพันเดชไว้ เธอคิดไว้ว่าจะหลับให้ดีๆหนึ่งคืน
……..
จวบจนฟ้าสว่าง
ตั้งแต่เช้าจิดาภาก็ไปโรงพยาบาล ตอนที่เธอถึง เปศลก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว อีกอย่างสีหน้าของเขาดูดีขึ้นเยอะ
ตอนที่เธอเดินเข้าไปหาเปศล เธอจึงรู้สึกตกตลึงเล็กน้อย “พ่อ?”
“จิ ลูกมาแล้วหรอ?” พอได้ผ่าตัดเสร็จ คำพูดคำจาจึงฟังดูมีพลังมากขึ้น
“พ่อ พ่อฟื้นแล้วหรอ? เป็นอะไรไหม?” จิดาภามองเปศลแล้วพูดขึ้น
“หนูดูพ่อว่าพ่อจะเป็นคนเป็นอะไรง่ายๆงั้นหรอ?” เปศลพูดออกมาเป็นคำๆ และพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี เขายังอยากจะคุยอะไรมากมายกับจิดาภา
“ดี งั้นพ่อไม่ต้องพูดอะไร พักผ่อนเยอะๆ!” พูดไป ก็มองปวีร์ “หมอมาดูอาการหรือยัง?”
ปวีร์พยักหน้า “หมอพึ่งจะออกจากที่นี่ครับ บอกว่าอาการของพี่เปศลนั้นดีมากๆ ไม่มีอาการที่อยากจะต่อต้านเลย ดังนั้นตอนนี้สามารถพักรักษาตัว ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วครับ!”
จิดาภายิ้มขึ้น
นี่เป็นข่าวที่ดีมากๆ!
พันเดชที่อยู่ข้างหลังก็คลายยิ้มออกมา “นี่ถือว่าเป็นข่าวดีจริงๆ!”
“เรื่องนี้ยังต้องขอบคุณท่านประธานพันเดช ถ้าไม่มีท่าน พี่เปศลก็คงจะไม่เป็นแบบนี้!” ปวีร์พูดขึ้น “คุณช่วยชีวิตพี่เปศล ก็ถือว่าช่วยผม ดังนั้นวันข้างหน้าหากคุณต้องการอะไร ผมจะช่วยคุณอย่างเต็มที่ ต่อให้ต้องตายก็ตาม!”
พันเดชก็กระตุกมุมปากขึ้น “พ่อก็พึ่งจะดีขึ้น คุณจะไปทำเรื่องที่เสี่ยงชีวิตแล้วหรอ? ฉันยังไม่อยากให้คุณต้องตาย คุณแค่ดูแลพ่อดีๆก็พอแล้ว!”
ปวีร์จึงพยักหน้าอย่างเต็มแรง
เปศลมองพวกเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยการรับการปลอบโยนและรู้สึกพึงพอใจ นึกไม่ถึงว่าการมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนมันดีแบบนี้นี่เอง
เธอจึงกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม
“เรื่องทุกอย่างก็ได้ฟังปวีร์พูดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องขอบคุณพันเดชมากๆ!”
“พ่อ ไม่ต้องพูดอะไรที่เกรงอกเกรงใจกับผมหรอก นี่เป็นเรื่องที่สมควร!” พูดไป นัยน์ตาของเขาจึงเปล่งประกายแสงแล้วมองจิดาภาด้วยสายตาลุ่มลึก
พอเห็นพวกเขารักใคร่กันมากขนาดนี้ เปศลจึงรู้สึกโล่งอกไปมาก
แต่ว่าจิดาภาเหมือนจะชินกับการถูกรักใคร่และเอาใจของพันเดช และความรักที่เขาแสดงออกมาอยู่ตลอดเวลา จนเกือบจะมองข้ามเปศลไป “พ่อ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พ่อต้องพักผ่อนดีๆ และทำตามทุกอย่างที่หมอบอก รู้ไหมคะ?”
เปศลพยักหน้า “ได้ พ่อจะเชื่อฟังหนู!”
พอคำพูดพวกนี้ออกมา จิดาภาจึงรู้สึกไม่เคยชิน จากนั้นก็ยิ้มขึ้นแล้วพยักหน้า
เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไว
หัวใจของเปศลไม่ได้เกิดอาการต่อต้านอะไร หลังจากที่รักษาตัวไปสักพัก ร่างกายก็ดีขึ้นเยอะ
อย่างน้องก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แค่ว่าวันข้างหลังห้ามออกกำลังหักโหมเกินไป ทว่าสำหรับเปศลแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เขาบรรลุเป้าหมายที่เขาหวังสูงเกินไปแล้ว
วันนี้ จิดาภาและพันเดชไปเยี่ยมเยียนเขา
พอเห็นเขานั่งอยู่ตรงกลางสวน จิดาภาและพันเดชจึงเดินไป “พ่อค่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว?” จิดาภาเดินไปแล้วถามไป
“พวกหนูมาแล้วหรอ? ตอนนี้พ่อดีขึ้นเยอะแล้ว ทำไมพวกลูกมากันแค่สองคนล่ะ ไทม์ล่ะ!?” เปศลมองพวกเขาแล้วถามขึ้น
“ไทม์อยู่บ้าน พรุ่งนี้หนูจะพาเขามานะคะ!”
“ดีๆ ไม่งั้นก็ให้เขาพักอยู่ที่นี่สิ ไปๆมาๆจะได้ไม่ต้องลำบาก!”
จิดาภาทำนัยน์ตาที่เปล่งประกาย
ไทม์อยู่บ้านฮอตมาก แม้แต่เธอจะไปแย่งตัวเขามาเลี้ยงยังไม่ได้เลย
“หนูจะพาเขามาหาพ่อบ่อยๆนะคะ!”
เปศลพยักหน้า
จิดาภาและพันเดชมองหน้ากัน สุดท้ายจิดาภาจึงเอ่ยพูดขึ้น “พ่อค่ะ จริงๆวันนี้เรามาก็เพราะมีเรื่องอยากจะบอกพ่อค่ะ!”
“เรื่องอะไร?”
จิดาภาและพันเดชต่างก็นั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ เธอเอาเอกสารออกมา “นี่…….”
พอเห็นเอกสาร เปศลยังคงยิ้มเหมือนเดิม “นี่?” พูดไป ก็ได้เปิดออกมา
ตอนนี้พันเดชและจิดาภาก็มาเยี่ยมเขาเหมือนปกติ อารมณ์ของเขาดูดีกว่าปกติเยอะ ทั้งตัวของเขาก็ดูมีความสุขและร่าเริงขึ้นเยอะ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ทั้งเคร่งขรึมและเย็นชา
“นี่เป็นเอกสารของแม่ค่ะ!” ตอนที่เปศลดึงเอกสารออกมาได้ครึ่งหนึ่ง จิดาภาก็ได้พูดแบบนี้ออกมา
มือของเปศลจึงหยุดลงทันที แม้กระทั่งยังดูสั่นเทาเล็กน้อย
“หนูว่ายังไงนะ?”
“นี่เป็นเอกสารที่พันเดชสืบเจอ ทีแรกก็อยากจะให้พ่อดู แต่นึกไม่ถึงว่าพ่อจะเข้าโรงพยาบาล รอจนกว่าพ่อดีขึ้น จึงจะให้พ่อ!” จิดาภาพูดไป เธอไม่ค่อยอยากพูด แต่ว่าเปศลก็ไม่เคยที่จะทิ้งโอกาสที่จะตามหาข่าวคราวของชุดา จิดาภาเองก็ไม่ได้อยากจะให้ความหวังเขา เพราะว่าแบบนั้นจะทำให้เขารู้สึกโหดเหี้ยมเกินไป
สุดท้าย ก็ค่อยๆเปิดเอกสารออก แล้วอ่านตัวหนังสือที่อยู่ในนั้น จากนั้นก็เผยสีหน้าที่เหมือนที่จิดาภาเคยเป็น
จิดาภามองเขาและไม่รู้ว่าปลอบโยนเขายังไง “พ่อ เรื่องมันก็ได้ผ่านไปหลายปีแล้ว…….”
“พ่อรู้!”
คำพูดของจิดาภายังเอ่ยไม่จบ เปศลจึงเช็ดน้ำตาตรงหางตา แล้วเงยหน้ามองเธอ “จริงๆหลายปีมานี้ พ่อไม่ได้ข่าวคราวของเธอ ผมก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แค่ถ้ายังไม่ถึงวันที่ได้ข่าวคราวของแม่ พ่อก็จะไม่ยอมเชื่อและไม่ยอมรับ…….”
“จริงๆแล้ว เรื่องมันก็จบไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากอีก!” พันเดชพูดขึ้น
เปศลกลับมาจิดาภา “จิ ลูกจะโทษพ่อไหม?”
“หนูเชื่อว่าตอนนี้พ่อยังรู้สึกเจ็บปวดใจไปกว่าหนู ใครจะไม่เคยทำผิด ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นสิ่งที่พ่อทำ ก็เพราะได้ทำเพื่อแม่ หนูเชื่อว่าแม่คงไม่โทษพ่อหรอก!”
“หนูพูดจริงๆหรอ?”
“แม่สามารถคลอดหนูออกมาได้ นั่นก็คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรอ?” จิดาภาถามกลับ เพียงคำๆเดียวถึงกับทำให้เปศลรู้สึกอึ้ง
ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า คำพูดของเธอนั้นเป็นคำพูดที่ความพลังมากๆ หลายปีมานี้เขาเอาแต่จะโทษตัวเองและรู้สึกผิดมาตลอด เพราะว่าคำพูดของเธอ กลับทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ
แค่ว่าชุดา……
แค่นึกถึงชื่อๆนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจ
ในหัวสมอง ก็มักจะนึกถึงภาพที่เธอเดินจากไป…….
“พ่อ หนูอยากจะบอกพ่อในเรื่องนี้ ก็เพื่อที่จะไม่ให้พ่อคิดจะตามหาแม่ต่อ แต่ไม่ได้คิดจะทำเรื่องที่สะเทือนใจกับพ่อนะ!” จิดาภาพูดขึ้น
เปศลพยักหน้า “พ่อรู้!”
“ให้เวลาพ่อได้ทำใจให้สบายหน่อย เดี๋ยวพ่อก็จะไม่เป็นไรเอง!”
“แต่…….”
“ให้เวลาพ่อหน่อยนะ!” พันเดชมองหน้าจิดาภาแล้วพูดขึ้น
พอได้ยินคำพูดของพันเดช จิดาภาพยักหน้า “งั้นก็ได้ พรุ่งนี้เราจะมาเยี่ยมพ่ออีกครั้งนะ!”
เปศลพยักหน้า จิดาภาจึงจะตามพันเดชออกไป
ตรงกลางสวน เปศลนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ผู้ป่วย แล้วมองหลักฐานการตายในมือ นัยน์ตาจึงเต็มไปด้วยน้ำใสๆ…….
ชุดา……
แค่นึกถึงก็เป็นชื่อที่ทำให้เจ็บปวดแล้ว
แม้แต่หายใจยังเจ็บปวด
แต่ว่าต้องขอบคุณคุณที่คลอดลูกสาวเราออกมา ขอบคุณนะ…….
จิดาภากับพันเดชเดินออกมา ทั้งสองก็กุมมือกันแล้วเดินตามทางไป
“มีอะไรอยากจะพูดไหม?” พันเดชมองเธอแล้วถาม
“อืม…….” จิดาภาครุ่นคิด “ฉันเชื่อว่าพ่อต้องคิดได้!”
“ผมก็รู้สึกแบบนี้!” พันเดชพยักหน้า “แล้วยังอีกไหม ผมดูคุณเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับผม!”
จิดาภายิ้มขึ้น แล้วกุมแขนของพันเดช “ฉันรู้สึกว่า ฉันยังโชคดีมากกว่าแม่ฉัน และเข้มแข็งมากกว่า!”
“ทำไมถึงคิดแบบนี้!?”
“เพราะว่าฉันมีคุณที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มักจะอยู่ไม่ทอดทิ้งฉัน อีกอย่าง…….ไม่ว่าเมื่อไหร่ ฉันก็จะเชื่อคุณ ในชีวิตวันข้างหน้า ต่อให้คุณจะทำเหมือนพ่อที่ไล่แม่ไป ฉันก็จะไม่จากคุณไปไหน!”
“จริงหรอ?” พันเดชกระตุกคิ้วขึ้น แล้วตุกยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมาให้กับผู้หญิงต่อหน้า เขาสามารถมองเธอออกไปกว่าใคร และเข้าใจเธอทุกอย่าง หรือเพราะว่าเขาเข้าใจเธอ อ่านใจเธอออก จึงทำให้เขารู้สึกว่าวันนี้เขาได้ทำเรื่องที่สำเร็จและมีความสุขที่สุดในชีวิตนี้
“แน่นอน!” จิดาภาพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
“คุณบอกไม่ผิดเลย คุณโชคดีจริงๆ!” พูดไป พันเดชจึงเข้าไปจับแก้มของเธอแล้วดึงเธอเข้ามาจูบ……
ในถนนที่ร่มเงาไปด้วยต้นไม้ ตลอดทั้งแถวที่ปลูกด้วยต้นเมเปิ้ล มีคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังจูบกันอย่างมีความสุข……
เปศลใช้เวลาทั้งวัน ที่จะหัดห้ามใจของตัวเองไม่ต้องไปคิดมาก วันข้างหน้า เขายังต้องทดแทนในสิ่งที่ติดค้างจิดาภาและไทม์
เช้าวันรุ่งขึ้น
แสงแดดที่ส่องแสงออกมาอย่างเจิดจ้า ในห้องรับแขกขนาดใหญ่ของตระกูล
ตระกูลฐิตานันท์ และตระกูลสวันนีย์ต่างก็มีเยือน และก็มีแม่บ้านไม่กี่คนกำลังทำกับข้าว พวกเขากำลังกินผลไม้กันอยู่ข้างนอก และคอยพูดคุยเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน
บนมีที่ปูด้วยพรมมีไทม์ที่กำลังเล่นอยู่ ข้างๆมีของเล่นวางเต็มไปหมด ไทม์จึงเล่นอย่างมีความสุข
“ไม่ได้ ไทม์อยู่ที่นี่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้เจอหลาน ฉันก็คงจะนอนไม่หลับ!” คุณยายพูดขึ้น
“คุณก็เอาไปเลี้ยงหลายวันแล้ว ถึงเวลาให้ผมได้เลี้ยงบ้าง!”
“ไม่ๆ ควรไปอยู่บ้านของเรา เปศล เห็นว่าคุณป่วย เลยยอมให้ไทม์มาอยู่กับคุณไม่กี่วันนะ คุณอย่าได้เอาแต่เลี้ยงหลานจนไม่ยอมคืนให้ฉันล่ะ!” การันต์พูดขึ้น
“นี่เป็นหลานของตระกูลฐิตานันต์นะ!”
“นี่เป็นหลานของผมหน่อยกัน!”
“หลานของผม!”
“หลานของเรา!”
“ใช่ หลานของเรา!” การันต์และเปศลถกเถียงกันไปมา และกำลังทำท่าทางที่มีอำนาจ คุณตาจะเป็นใหญ่ที่สุด
…….
จิดาภาและพันเดชพูดหน้ากัน ทั้งสองถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ตอนนี้เวลานี้ เปศลและการันต์ และยังมีวรชิต ทั้งสามคนที่มีอายุครึ่งร้อยแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังแย่ง “ของเล่น”
ไทม์ ผู้น่าสงสาร ถูกพวกเขาแย่งกันอย่างเมามันส์
แต่ว่าเรื่องสงครามในการแก่งแย่งกัน ทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็มักจะทำเรื่องนี้ จริงๆพวกเขาล้วนเป็นผู้ชาย เรื่องพวกนี้ก็คงไม่ตกทอดถึงพวกเขาที่ต้องคอยมากังวล
ดูๆแล้งไทม์คงจะสบาย จิดาภาและพันเดชจึงรู้สึกดีใจมาก
และทั้งสามก็กำลังแก่งแย่งกันไม่หยุด สุดท้ายก็มีคุณยายที่ยืนออกมา บอกพูดคำพูดที่เป็นธรรม “จริงๆแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็ให้จิมีลูกเพิ่มอีกสองคน แบบนี้ พวกเราก็เอาหลานไปเลี้ยงคนละบ้าน จะได้ไม่ต้องแย่งกัน!”
“ไอเดียดี!”
“ใช่ ความคิดนี้ไม่เลว!”
ธีราและคุณหญิงภารดีจึงกวาดสายตาไปทันที
จิดาภาและพันเดชกำลังกินผลไม้ พอได้ยินคำพูดแบบนี้จึงหยุดชะงักไป แล้วมองพวกเขา
“คุณย่า นี่คุณย่ากำลังพูดอะไรอยู่!?” จิดาภาพูดขึ้น
“คุณย่า ผมไม่มีข้อคิดเห็นอะไรอยู่แล้ว!” พันเดชจึงแสดงความเห็นขึ้น
คำพูดแบบนี้ จึงทำให้จิดาภาต้องมองบน “ถ้าไม่มีความเห็นใด คุณก็ไปมีลูกตั้งครรภ์เองแล้วกัน!”
“นั่นคุณก็ต้องให้ความร่วมมือสิ!”
“โรคจิต!” จิดาภาจึงตบเขา เขาจึงยิ้มอย่างมีความสุข
“ทว่าภรรยาจ้า คุณคลอดลูกสาวให้ผมอีกคนได้ไหม?” พันเดชมองเธอ
“คลอดอะไร ก็ไม่ใช่ว่าฉันพูดก็จะได้สักหน่อย!” จิดาภาจึงผลักไสความสัมพันธ์
พันเดชกลับยิ้มขึ้นอย่างไม่แคร์ “ไม่เป็นไร ผมจะพยายาม จนกว่าจะคลอดเด็กผู้หญิงได้ คลอดหลายๆคนก็คงไม่เป็นได้ ยังไงผมเลี้ยงไหว!”
จิดาภาจึงทำนัยน์ตาที่เปล่งประกาย
เขาเห็นเธอเป็นตัวอะไรกัน และเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอมีความสุขมาก……
ตรงกลางสวยของตระกูลธนพัต ดอกหญ้าสีเขียวชอุ่ม พวกเขาทั้งครอบครัวจึงพูดคุยเล่นกันอย่างมีความสุขยิ่งนัก ระหว่างที่คุยกัน ไทม์ที่ถูกวรชิตอุ้มไว้ยังหัวเราะออกมา และกำลังมองพวกเขายิ้ม ถึงแม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจ แต่เขาก็สามารถแสดงอารมณ์ให้เขากับบรรยากาศได้ เขากัดมือเล็กๆของตนเองไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างอู้อี้ว่าอยากได้น้องสาวมาเล่นกับเขาไวๆ
เป็นฉากที่จบลงอย่างมีความสุขและใช้ชีวิตกันอย่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน……..