พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 459 คิดได้
ยอมรับว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ มันน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ
เฉินซู่ เจ้ากลัวสิ่งใดอยู่
แม่นางเฉินสิบแปดหลับตาลง ปิดหน้าคุกเข่าลงไป
“หลานโง่เขลาเบาปัญญา ขอท่านปู่สั่งสอนด้วย” นางเอ่ยทั้งน้ำตา
ภายในห้องนั่งกันพร้อมเพรียง สาวใช้ถือผ้าขนหนูเช็ดหน้าเช็ดตาให้แม่นางเฉินสิบแปดอย่าเบามือ แล้วส่งชาร้อนให้
เฉินตันเหนียงชะโงกหน้ามาจากหน้าประตู แต่ก็ถูกแม่นมลากออกไปอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดนางจึงปฏิเสธคำเชิญของกุ้ยเฟย เป็นเพราะตัวอักษรสิงซูที่โด่งดังนั่น ทว่าตัวอักษรสิงซูเขียนขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า” นายท่านเฉินเอ่ยถาม
แม่นางเฉินสิบแปดวางถ้วยชาลงก้มหน้าตั้งใจฟัง
“พี่บุญธรรมตายเพราะราชกิจของบ้านเมือง ซ้ำคุณูปการยังโดนคนอื่นมาแย่งไป นางที่เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ไม่สนว่าจะล่วงเกินฮ่องเต้หรือไม่ ปลุกระดมปวงชนให้ลุกฮือเพียงนี้จึงโชคดีได้สมปรารถนา เจ้าคิดดูว่าช่วงระยะเวลานี้มีสิ่งไม่คาดฝันมากมายเพียงใด สิ่งไม่คาดฝันต่างๆ นานา เรื่องที่นางทำได้ทั้งหมดล้วนเสียแรงเปล่าไปเสียแล้ว ไม่เพียงแต่สูญเปล่าเท่านั้น ยังย้อนกลับมาแว้งกัดนางเองอีก ต่อให้ยามนี้ดูแล้วจะเป็นฟ้าหลังฝนที่แจ่มใส แต่ความจริงแล้วกลับซ่อนไว้ด้วยความอันตรายมากมายนัก” นายท่านเฉินเอ่ย “สิบแปด ตั้งแต่เล็กเจ้าก็ถูกบิดาปกป้องคุ้มครองจนเติบใหญ่ ตระกูลเฉินของเราก็เรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง สำหรับเจ้าแล้ว เข็มตำมืออาจเป็นเรื่องใหญ่คับฟ้า สภาพจิตใจเช่นนี้จะสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับแม่นางเฉิงผู้นั้นได้อย่างไร”
แม่นางเฉินสิบแปดก้มหน้าลง
“เจ้าเคยเห็นนางหัวเราะหรือไม่”
“เหตุใดนางจึงไม่ชอบพูดชอบจากันล่ะ”
“เรื่องราวบนโลกนี้สำหรับนางแล้วช่างโหดร้ายนัก นางหัวเราะไม่ออก และไม่มีอันใดจะพูด”
“สิบแปด เจ้ารู้ว่าผู้คนต่างชื่นชมว่าป้ายสุสานนี้เขียนได้สวยงาม เป็นอันดับสองของแผ่นดิน เจ้ารู้ว่าพวกเขาต่างบอกว่าสวย แต่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงบอกว่าสวย”
“นั่นคือความเจ็บปวดทุกข์ระทมที่ไร้ทางจะเอื้อนเอ่ยออกมา แต่ละตัวอักษรเขียนด้วยหัวใจ จึงจะสามารถเขียนได้”
“นางจะเอาอักษรเหล่านี้มาเป็นอักษรไว้ดูเล่นได้อย่างไร อีกทั้งจะยินดีภาคภูมิใจที่โด่งดังด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
“นางยอมเขียนอักษรเหล่านั้นไม่ได้เสียดีกว่าสามารถเขียนพวกมันออกมา”
“สิบแปด สิ่งเหล่านี้มีอันใดให้น่าอิจฉากัน”
“สิบแปด ข้าเคยบอกแล้วว่าต้องมีจิตใจที่มีเมตตาอยู่เสมอ ดูนางโด่งดังในสายตาของผู้คนเพียงนั้นสิ ชื่อเสียงเหล่านั้น มีที่มาอย่างไร”
“สิบแปด นางไม่สนใจ ใครอยากได้ก็เอาไป นางไม่สนใจหรอก!แต่คนอื่นสนใจ เจ้าจะให้นางทำอย่างไร นางจะทำอย่างไรได้ นอกจากตัวเองแล้ว นางจะทำอะไรให้ใครได้”
“หากเป็นอย่างที่เจ้าพูด กระทั่งป้ายหลุมศพนางยังไม่อาจเขียนได้ กระทั่งร้องไห้ให้แก่เหล่าพี่ๆ ก็จะทำไม่ได้เลยหรือ หรือนางต้องหลบซ่อนไว้จึงจะพอใจเจ้า นางเขียนอักษร ร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าผู้คน คนทั้งแผ่นดินชื่นชมนางด้วยเหตุนี้ ก็จะหาว่านางใช้วิธีการที่มิชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศแล้วหรือ”
“ส่วนเรื่องตั้งโต๊ะเขียนอักษรหน้าเรือนนั้น นางก็แค่อยากทำเท่านั้น คนอยากจะดู นางก็กำลังเขียนอยู่พอดี เหตุใดจะไม่ยินยอมเล่า นางไม่รู้สึกละอายใจในการพิจารณาตนเอง ทำตามใจชอบและมีอิสระ หรือยังต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรด้วยหรือ ต้องคิดว่าจะทำให้ใครมีความสุขและจะทำให้ใครไม่มีความสุขหรือไร นางต้องสนใจคนอื่น กระทั่งตัวของตัวเองก็เป็นไม่ได้แล้วหรือ”
“สิบแปด เจ้ารังแกคนมากเกินไปแล้ว!”
“สิบแปด สวรรค์ไร้เมตตามากพอแล้ว อย่าได้กลั่นแกล้งคนกันเองอีกเลย เมตตาสักหน่อยเถิด”
แม่นางเฉินสิบแปดโน้มกายร้องไห้กับพื้นยกใหญ่อีกครั้ง
“ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว” นางร้องไห้เอ่ยขึ้นพลางลุกขึ้นมา “ข้าจะไปขอโทษนาง”
“เจ้าไม่ต้องไปแล้ว” นายท่านเฉินเรียกเอาไว้ “ผิดก็คือผิด ขอโทษมิได้หรอก”
แม่นางเฉินสิบแปดยืนนิ่งปิดหน้าไว้
“ข้าจะไปกับตันเหนียงแล้วกัน” นายท่านเฉินเอ่ยขึ้น ลุกขึ้นเดินออกไปพลางเอ่ยเรียกเฉินตันเหนียง
แม่นางเฉินสิบแปดยืนอยู่ข้างประตู มองนายท่านเฉินและเฉินตันเหนียงที่วิ่งมาหาจากอีกฝั่งอย่างอดรนทนไม่ไหวนานแล้ว
“…จะไปเรือนแม่นางเฉิงหรือเจ้าคะ ดียิ่งนัก…โทษพี่สาวเลย ข้ากำลังจะเข้าครัวเรียนกับแม่นางแล้วแท้ๆ…”
เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น
เป็นเด็กนี่ดีเสียจริง เงยหน้าชื่นชมนาง นับถือนางได้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์
ท่านปู่เป็นผู้ใหญ่ ยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ไม่น่าหวาดกลัว
สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ยอมรับคนที่เดิมทีน่าจะด้อยกว่าตนคนหนึ่งว่าเขาสูงกว่าตน
วันที่สิบแปดเดือนสิบ สำนักโหรหลวงเลือกให้เป็นวันมงคล ผิงอ๋อง ชิ่งอ๋องออกจากวังเข้าพำนักยังจวนอ๋อง
วันต่อมา แม่นางเฉินสิบแปดเตรียมรถม้าออกจากบ้าน
“สิบแปด เจ้ากำลังจะไปจวนผิงอ๋องรึ” ฮูหยินเฉินเอ่ยถามด้วยความไม่ค่อยแน่ใจ
“ท่านแม่ ข้าจะไปสอนผิงอ๋องเขียนอักษรเจ้าค่ะ” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มบางเอ่ยตอบ
ฮูหยินเฉินกับเหล่าลูกสาวด้านหลังสีหน้าต่างแปลกประหลาด
“สิบแปด กุ้ยเฟยเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นออกมา เจ้า…” พี่สาวนางหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่
ตอนนั้นกุ้ยเฟยจะไปเชิญแม่นางเฉิงมาสอนอักษร มีคนเอ่ยบอกอ้อมๆ ว่าแม่นางเฉินสิบแปดก็เขียนได้ไม่เลวเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เชิญมาสอนคัดอักษรแก่องค์ชายใหญ่ด้วย กุ้ยเฟยหัวเราะหยันขึ้นจมูก
“ก็แค่เขียนอักษรได้เท่านั้น แผ่นดินนี้มีคนเขียนอักษรได้มากมายถมเถไป แต่เราต้องการยอดฝีมือ” นางเอ่ย
คำพูดนี้ย่อมห้ามให้คนแพร่งพรายออกมากันยาก นี่ก็เป็นสาเหตุว่าเหตุใดวันนั้นที่หน้าเรือนเฉิงเจียวเหนียง แม่นางน้อยสองคนนั้นจึงใช้คำว่าเขียนอักษรไม่ได้มาเหน็บแนม
“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้าถวายการสอนองค์ชาย แต่มิได้รับสั่งว่าข้าไม่ต้องไปนี่เจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดอมยิ้มเอ่ย “คนอื่นจะว่าอย่างไร ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าจะต้องทำเสียหน่อย”
เหล่าพี่น้องต่างพยักหน้า
ฮูหยินเฉินก็ถอนใจด้วยความปลาบปลื้มด้วยเช่นกัน
“แต่ว่าผิงอ๋องเพิ่งจะเข้าจวนมาเมื่อวาน อีกสองสามวันค่อยไปดีหรือไม่” นางเอ่ยถามอีก
แม่นางเฉินสิบแปดส่ายหน้า
“ฝ่าบาททรงเป็นคนที่มานะพยายามมากคนหนึ่ง” นางเอ่ย “อย่าว่าแต่วันนี้เลย ขนาดเมื่อวานก็คงจะไม่ยอมให้เสียเวลาในการร่ำเรียนไปแน่”
แม้ว่าจะไร้ซึ่งพรสวรรค์ แต่พวกเขามีความมานะและยืนหยัดไม่ย่อท้อ สวรรค์ก็ไม่อาจกลั่นแกล้งได้
รถม้าเคลื่อนผ่านถนน พอมาถึงสะพานอวี้ไต้แม่นางเฉินสิบแปดก็เลิกม่านขึ้น มองผู้คนหน้าประตูบ้านที่ยังคงเนืองแน่น
หญิงผู้นั้นนั่งหลังตรง จับพู่กันลงเขียนบนกระดาษที่แขวนอยู่บนแท่น เพราะอยู่ไกลจึงมองไม่ชัดว่ากำลังเขียนอันใดอยู่
ในเมื่อสู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปทำเรื่องของตัวเองเถิด
แม่นางเฉินสิบแปดปล่อยม่านลง
รถม้าของนางเคลื่อนผ่านไป ทางด้านเฉิงเจียวเหนียงที่เขียนอักษรกันก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เพราะคนแยกย้ายกันไปจึงทำให้ถนนหนทางติดขัด รถม้าคันหนึ่งจึงติดแหงกอยู่บนถนน
ผู้ติดตามที่อยู่ข้างรถม้ารีบเคลื่อนรถไปข้างหน้า แต่ถูกคนในรถห้ามไว้
“รออีกเดี๋ยวก็ผ่านไปได้แล้ว”
ม่านรถม้าเลิกขึ้น เผยให้เห็นชายคนหนึ่งในชุดธรรมดา นั่นก็คือเกาหลิงปอ
“จะรีบร้อนไปไย”
ผู้ติดตามขานรับแล้วถอยออกมา เกาหลิงปอมองไปทางด้านนั้น เห็นหน้าสะพานอวี้ไต้คึกคัก ริมแม่น้ำใต้สะพานก็มีคนมากมายกำลังล้างพู่กันกันอยู่
“ไอ้หยา ข้ากำลังซักผ้าอยู่นะเจ้าคะ” บรรดาหญิงสาวบ่นขึ้น
“ขอโทษขอรับ” เหล่าปัญญาชนยิ้มเอ่ย “เสื้อผ้าอาภรณ์รออีกเดี๋ยวค่อยซักได้ แต่พู่กันรอไม่ได้นะขอรับ”
เรียกเสียงพูดคุยหัวเราะโหวกเหวกไปทั้งบริเวณ เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสนุกคึกคักของตลาด
“คนเหล่านี้มาอ่านหนังสือที่นี่กันรึ” เกาหลิงปอเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ
“ขอรับ ใต้เท้า เพราะหลังจากอ่านหนังสือเขียนอักษรเสร็จแล้วต่างมาล้างพู่กันกันที่นี่ ทุกครั้งผู้คนมากมายจนแม่น้ำย้อมไปด้วยหมึกได้เลยเชียว” ผู้ติดตามรีบตอบอย่างนอบน้อม “ยังมีคนวาดภาพล้างพู่กันด้วยนะขอรับ หลายคนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง บอกว่าเป็นการให้กำลังใจผู้คนให้รู้จักถนอมช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต วันนี้จึงได้มีภาพวาดล้างพู่กันออกมา”
เกาหลิงปอหลุดยิ้ม
“ปัญญาชนเหล่านี้ทำเป็นแต่เอาเยี่ยงอย่างตัวเองอยู่แล้ว” เขาเอ่ย สายตาตกอยู่บนประตูเรือนหลังนั้น
“แต่แม่นางเฉิงผู้นี้ถูกเหล่าปัญญาชนพวกนี้เอาเยี่ยงอย่างคงมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ไม่มีใครเอ่ยถึงชื่อเสียงที่ปลุกปั่นเหล่าปวงชนให้สับสนอลหม่านอีกแล้ว หากเอ่ยถึงขึ้นมากลับโดนด่าว่ากลายเป็นคนโง่เสียเอง” ผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา “ยามนี้ก็ต่างเรียกกันว่าแม่นางเจียงโจวแหน่ะขอรับ”
“เป็นเกียรติของชาวเจียงโจวแล้ว” เกาหลิงปอยิ้มเอ่ยพลางหรี่ตาลง “มีชื่อเสียงนี่ดีเสียจริง มีชื่อเสียงที่ดีนี่ดีเสียจริง บิดามารดานางคงมีความสุขมากด้วยเช่นกัน”
“ใต้เท้า ต่างว่ากันว่าแม่นางเฉิงไม่ถูกกับญาติๆ ขอรับ ที่เจียงโจวเห็นว่าฟ้องร้องลุงที่ศาลาว่าการเพื่อแย่งสมบัติกัน” ผู้ติดตามเอ่ย ยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด
“อย่าเพ้อเจ้อ” เกาหลิงปอส่ายหน้าเอ่ย “นั่นย่อมเป็นการเข้าใจผิดกันแน่แล้ว แม่นางเฉิงจะเป็นศิษย์ที่ไม่จงรักภักดีและอกตัญญูได้อย่างไร”
ผู้ติดตามตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หากมิได้เข้าใจผิดเล่า แม่นางเฉิงนั่นจะไม่กลายเป็นศิษย์ที่ไม่จงรักภักดีและอกตัญญูไปเลยหรือ
ยามนี้ฮ่องเต้ทรงเมตตานาง ได้ฉายานามว่ากตัญญู หากทรงทราบว่าแม่นางน้อยที่มีชื่อเสียงดีงามที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญเป็นคนไม่จงรักภักดีและอกตัญญู เช่นนั้น…
สมกับเป็นใต้เท้าเสียจริง คำพูดนุ่มนวลดั่งมีดฆ่าคนได้!
“อ้อ จะว่าไปแล้ว บิดาของแม่นางเฉิงปีนี้ก็น่าจะได้ย้ายตำแหน่งด้วยกระมัง” เกาหลิงปอยิ้มบางเอ่ย “ชื่ออะไรนะ”
และในขณะเดียวกันนั้นเองนายรองเฉิงก็จามออกมาอย่างหนัก
“ไอ้คนสมควรตายคนใดมันพูดถึงข้ากัน”
นายรองเฉิงเดือดดาลยิ่ง เรียกได้ว่าเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าเลยทีเดียว เขาลุกขึ้นมาเดินไปเดินมาภายในห้อง ปากเอาแต่พึมพำรายชื่อออกมาเป็นพรวน
รายชื่อเหล่านั้นฮูหยินรองเฉิงที่อยู่ข้างๆ กลับคุ้นเคยดี ต่อให้เคยไม่คุ้น แต่ยามนี้ก็คุ้นเคยขึ้นมาแล้ว
รายชื่อเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนร่วมงานของนายรองเฉิง ล้วนเป็นคนที่เขาเคยไปมาหาสู่และได้รับผลประโยชน์ ทว่ายามนี้กลับถูกนายรองเฉิงรำพันพูดถึงตลอดเวลาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“บอกเสียดิบดีแล้วว่าไหลโจว ไหลโจว ตอนมาเอาเงินกับของกำนัล พูดเสียดิบดีกันทุกคน แต่ที่แท้กลับหลอกข้า!” เขาเอ่ยอย่างเดือดดาล “ไห่โจว ให้ข้าไปไห่โจว ซ้ำยังบอกว่าก็เหมือนๆ กันนั่นแหละอีกอย่างนั้นรึ ต่างกันคำเดียวก็เหมือนๆ กันได้แล้วรึ”
ฮูหยินรองเฉิงเองก็ใจร้อนจนเดือดดาลขึ้นมาแล้วเช่นกัน
“นายท่านเกิดข้อผิดพลาดที่ใดกันแน่เจ้าคะ มีคำสั่งแล้วแท้ๆ มิใช่หรือ” นางถามอย่างร้อนใจ
“บอกว่าเบื้องบน เบื้องบน เบื้องบนอันใดกัน ตกลงกันทั้งเบื้องบนเบื้องล่างแล้ว เหตุใดเบื้องบนยังไม่สั่งอีก” นายท่านรองเฉิงเอ่ย
“หรือว่าเส้นสายยังไม่ใหญ่พอ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย “หลิวอวี้คุนนั่นพึ่งพาไม่ได้แต่แรกแล้ว”
อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน
นายรองเฉิงขมวดคิ้วหยุดฝีเท้าลง
“ไม่ได้การ ข้าจะไปดูเองสักครั้ง” เขาเอ่ย