ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 158
ตอนที่ 158 คลื่นหมาป่า
แต่ขนาดตัวของมันนั้นกลับเท่ากับหมี… และไม่ใช่หมีธรรมดาแต่เป็นถึงหมีสีน้ําตาลที่ตัวใหญ่ที่สุด
ขนของมันมีลักษณะเหมือนหนามสีดําไปทั่วทั้งตัว… สีของมันโดดเด่นออกจากหมอกมาเล็กน้อย ทําให้มองเห็นลักษณะภายนอกของมันได้ถูกต้องชัดเจน
พวกมันอ้าปาก และส่งเสียงข่มขู่รอบๆไปทั่ว ทําให้เหล่านักล่าอสูรที่กําลังมองอยู่ได้เห็นน้ําลายที่หยดลงมาของสัตว์ตัวนั้น
น้ําลายที่หยดลงมาพร้อมกับเสียงคําราม ทําเอานักรบจากหน่วยนักล่าอสูรถึงกับกระดูกสันหลังสันสะท้านร่างกายเย็นยะเยือกทันที
แต่ก่อนที่พวกเขาจะตั้งสติได้ และคิดอะไรออก ฝูงหมาป่ากลายพันธุ์กลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
พวกมันใช้ยุทธการโจมตีจากทั้ง 4 ทิศ!!
“ทีมจู่โจม เปิดไฟซะ!” เสวี่ยป้าสั่งการทันทีเมื่อเห็นสถานการเข้าสู่วิกฤติฉุกเฉิน ใบหน้าของเขาแต่ละคนนั้น ราวกับถูกฉาบไปด้วยความมุ่งมั่น “พวกเธอที่เหลือกลับไปซะ อย่าเปลืองกระสุนกับเรื่องนี้”
ก็อย่างที่บอกว่าหน่วยนักล่าอสูรนั้นแบ่งอาวุธและกระสุนกันอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นปืนก็จะไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว หากแต่เป็นการรวมปืนหลายชนิดเข้าด้วยกันต่างหาก
แต่ละคนก็ไม่ควรจะมีปืนประเภทเดียวกันเกิน 1 ชนิด… หรือบางคนก็อาจจะถืออาวุธแบบเฉพาะตัวไปเลย ดังนั้นก็จะมีปืนประเภทที่ใช้ความรุนแรงได้เป็นพิเศษอย่างจํากัดด้วยเช่นกัน อย่างเช่น ปืนระเบิด… แน่นอนว่า ปืนระเบิดนั้นมีความหนักที่ค่อนข้างมหาศาล ดังนั้นแล้วทุกคนคงจะถือปืนระเบิดไม่ได้อย่างแน่นอน…
ดังนั้นแล้วเสวี่ยป้าจึงไม่ต้องการเป็นกระสุนอันมีค่าจากปืนที่มีพละกําลังทําลายล้างสูงแบบเปล่าประโยชน์ เขาตั้งใจที่จะเก็บกระสุนพวกนี้ไว้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินและร้ายแรงกว่านี้
ท้ายที่สุดแล้วหน่วยนักล่าอสูรของเขาก็ไม่ได้เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก…
โจวอี้ เกาหมิงเผิง และคนอื่นๆ ก็เหนี่ยวไกยิงปืนทันที พวกเขาจัดให้มีสมาชิกสองคนยืนอยู่ในแต่ละด้านทั้งสี่..รวมเป็นแปดคน
พอเห็นหมาป่ากระโจนเข้ามาพวกเขาทั้งหมดก็เปิดฉากยิง และเสียงปืนก้องกังวานไปในอากาศ
ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น…บรรดาเขม่าและควันก็เริ่มโปรยลงมาใส่หลังคาของศาลเจ้าที่พวกเขากําลังยืนอยู่ และใช้มันเป็นที่ตั้งมั่นอยู่
นี่ก็คือปืน…
อาวุธสําคัญของมนุษยชาติที่ใช้ครองโลกมานับร้อยปี… มันคืออาวุธที่ผ่านการคิดค้นจากสมองอันชาญฉลาดของมนุษย์… แม้มนุษย์จะไม่มีพละกําลังที่ยิ่งใหญ่และกรงเล็บที่น่ากลัวเหมือนเหล่าสัตว์ร้ายแต่พวกเขาก็มีมันสมอง
พวกเขาใช้มันในการคิดค้นอาวุธที่ร้ายแรงขึ้นมา หลังจากผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน สิ่งที่เรียกว่าปืนก็ถือกําเนิดขึ้น
และในขณะนี้ปืนและกระสุนก็กําลังถูกใช้งานโดยมนุษย์ พวกเขาใช้มันยิงใส่หมาป่าที่กําลังกระโดดเข้าโจม
ทันใดนั้นเองกระสุนที่ออกจากปากกระบอกปืนนั้นก็เกิดประกายไฟแรงดีดมหาศาลได้กดเข้าไปที่กล้ามเนื้อของนักแม่นปืนที่กําลังยิงปืนอยู่… ทําให้เขาเสียหลักจนเกือบจะล้ม
ต้องบอกว่าการเดินทางอย่างยาวนานและผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วนตั้งแต่เริ่มเดินทาง ทําให้ร่างกายของเขานั้นเหนื่อยล้าเจ็บปวดราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆและยิ่งมายิงปืนแบบนี้มันก็ยิ่งทําให้ร่างกายของเขาแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก…. แต่เพื่อปกป้องสมาชิก ต่อให้ร่างกายต้องแตกสลายเขาก็ยินดี
เหล่านักแม่นปืนไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกาย พวกเขาพากันโถมกระหนํากระสุนใส่ร่างหมาป่าที่บุกเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง… เสียงแห่งความเจ็บปวดและเสียงของปืนดังลั่นไปทั่วอากาศ กลิ่นของเลือดและกลิ่นดินปืนได้กระจายไปทั่วบริเวณ มันราวกับกลิ่นอายของความตายได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนสัตว์ร้ายจะไม่เข้าใจความหมายของความกลัว! แม้ว่าหมาป่าตัวที่อยู่แนวหน้าจะถูกโจมตีอย่างหนักจนร่างกายเละเทะแหลกเหลวไปด้วยเศษเนื้อและเลือดที่พุ่งกระฉด แต่หมาป่าตัวที่อยู่ข้างหลังก็จะวิ่งไปข้างหน้าเพื่อแทนที่เหล่าหมาป่าที่ล้มลงและโจมตีพวกมนุษย์ต่อไปอย่างโหดเหี้ยมห้าวหาญ
เสียงคร่ําครวญที่คล้ายใกล้จะตายจากญาติพี่น้องของพวกมันและกลิ่นเหม็นของเลือดไม่สามารถทําให้พวกมันกลัวเกรงและถอยหลังกลับได้เลย ในทางตรงกันข้ามมันกลับส่งเสริมให้หมาป่ากลายพันธุ์ที่เหลือเข้าสู่ภวังค์ ที่บ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น พวกมันเคลื่อนที่เร็วขึ้นอย่างผิดปกติ และพวกมันก็ออกมาจากหมอกมากขึ้นเรื่อยๆ จํานวน ของมันมหาศาลจนไม่อาจจะนับได้ด้วยตาเปล่า พวกมันแห่แหนกันมาโจมตีเหล่ามนุษย์อย่างบ้าคลัง คล้ายกับคลื่นทะเลยักษ์ที่หมายจะโถมชายฝั่งให้เป็นจุล
“แม่งเอ๊ย! หมาบัดซบ” ลู่เสี่ยวหนิงส่งเสียงสาปแช่งเสียงดังด้วยอารมณ์ที่โมโหเกินยับยั้ง
ในขณะที่เธอก่นด่า..ลุงต้านก็มีหน้าที่ดูแลและห้ามเธอไม่ให้เข้าไปยุ่งเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
สัตว์ร้ายชนิดนี้มีหนังที่หนา การยิงไปที่ร่างกายของพวกมัน…จะไม่สามารถทําให้พวกมันล้มลงหรือบาดเจ็บมากได้
แต่มันก็เป็นสิ่งมีชีวิต!! จุดอ่อนของพวกมันย่อมเป็น “ศรีษะ” ทว่า…ต่อให้ถูกยิงที่ศีรษะอย่างไรก็ตาม… แต่สัตว์ร้ายก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อและดิ้นอีกสักพักกว่าจะตาย นั่นเลยทําให้ทุกอย่างย่ำแย่!!
ในขณะนี้หน่วยแม่นปืนของหน่วยนักล่าอสูรนั้นตกอยู่ในสภาพที่ย่ําแย่มากที่สุด… พวกเขาเริ่มใช้กระสุนไปอย่างสิ้นเปลือง แม้พวกเขาจะถูกเรียกว่าเป็นหน่วยแม่นปืน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะหวังว่ากระสุนทุกนัดจะต้องถูกยิงเข้าที่ศีรษะของหมาป่าซ้ําแล้วซ้ําเล่า… ดังนั้นการรบจึงอยู่ในสภาพที่ยืดเยื้อ กว่ากระสุนสักนิดหนึ่งจะโดนเข้าที่ศีรษะของหมาป่าก็ต้องเสียกระสุนไปมากกว่า 20 นัด
ในฐานะผู้นําของเหล่านักแม่นปืน ลู่เสี่ยวหนิงนับว่ามีความแม่นยําที่มากที่สุด ถ้าเธอไม่ไร้ความสามารถ เธอก็จะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีอย่างแน่นอนและสงครามเล็กๆน้อยๆ นี่คงไม่กินเวลาและกระสุนมากนัก
ดังนั้นการที่เธอบาดเจ็บที่ตา… อีกทั้งยังหมดความสามารถในฐานะนักแม่นปืน อีกทั้งยังกลายเป็นคนเจ็บที่ต้องมานั่งๆนอนๆให้คนอื่นดูแล มิหนําซ้ําในการรบการยิงครั้งนี้ เธอเองทําได้แค่เฝ้าดู สําหรับเธอแล้วมันไม่ต่างอะไรกับเอาเธอมานั่งทรมาน เธอทําได้แค่เฝ้าดูเหล่าลูกน้องที่ยิงหมาป่าด้วยความเศร้าใจ
หลินม่อและสมาชิกคนอื่น ๆ ของแผนกวิจัยวิทยาศาสตร์ต่างตกตะลึงกับความห้าวหาญของฝูงหมาป่า พวกเขาเห็นอย่างชัดเจน ตั้งแต่ต้นไม้ยักษ์ไปจนถึงศาลเจ้า…ทุกพื้นที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยซากสัตว์และศพแหลกเหลวของหมาป่าเป็นจํานวนมากจนยากจะนับด้วยตาเปล่า
กู้จวิ้นที่เห็นภาพนี้เขาเองก็ตกใจเหมือนกัน… ถ้าคาดเดาจากซากศพของสัตว์ที่ล้มตายอย่างมากมายนั่น แสดงว่าฝูงหมาป่าฝูงนี้จะต้องมีสมาชิกที่มหาศาล… และอีกอย่างหนึ่งการที่พี่น้องตายไปขนาดนี้ พวกมันไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือเหรอ? ทําไมพวกมันเอาแต่บุกอย่างเดียว…
ขนาดตัวกูจวินเองเขายังกลัวตาย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดีใจอย่างมากที่ระบบได้มอบยาช่วยชีวิตมาให้เขาหรอก…. เพราะถ้าไม่มีระบบ และรางวัลนี้ก็อาจจะเจ็บหัวสมองจนตายไปตั้งนานแล้ว….
ขนาดเขายังกลัวตาย… และเขาก็เชื่อว่าสรรพชีวิตในโลกนี้ล้วนแต่ต้องกลัวตายกันทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่า หมาป่าพวกนี้จะแตกต่างออกไป
“พวกมันเกิดมาโดยปราศจากความกลัวจริงๆหรือ? นั่นขัดกับกฎธรรมชาติโดยสิ้นเชิง…”
เว้นก็แต่…พวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตนั่นแหละ!! กู้จวิ้นครุ่นคิดตามหลักการที่ควรจะเป็น
และความสงสัยนั้นเข้ามาในจิตใจของเสี่ยป้าเช่นกัน เขาเริ่มสงสัยว่ามันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา เพื่อแก้ไขความสงสัย เขาจะต้องพิสูจน์
“โจวยี่…ลากศพหมาป่ามาตัวหนึ่ง ฉันจะทดลองอะไรบางอย่าง” เสี่ยป้าออกคําสั่ง และโจวมี่ก็พยักหน้า และรีบทําตามอย่างรวดเร็ว
โจวยี่ยกซากหมาป่าตัวหนึ่งเข้าไปในศาลเจ้าแล้วโยนมันลงพื้นทันที จากนั้นทั้งคู่ก็เคลื่อนที่เข้าหากัน ต่างคนต่างถืออาวุธเพื่อคุ้มครองอีกฝ่าย โจวยี่ถือปืนคุมเชิงโดยให้ปล่อยให้เสี่ยป้าเข้าไปพิสูจน์..
เสวี่ยป้าจับซากหมาป่าเขย่าจนเลือดหมาป่าไหลหยดลงพื้นส่งกลิ่นเหม็นคาว พอเห็นแบบนี้เขาก็โยนมันลงพื้นอีกรอบและเตะมันเต็มแรง
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นร่างกายของหมาป่าและนี่ไม่ใช่ภาพลวงตา นี่เป็นข่าวร้ายอย่างยิ่ง นั่นก็เท่ากับว่าหมาป่ายังคงแข็งแกร่งและมีจํานวนไร้จํากัด แต่ทางกลับกันกระสุนของพวกเขาหมดไปแล้วครึ่งหนึ่ง!!
ความพ่ายแพ้และความตายอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น…. พวกเขาเหลือเพียงเวลา…ถ้าหากกระสุนของพวกเขาหมดเมื่อไหร่ความตายและความทรมานก็จะมาหาพวกเขาทันที… ดังนั้นทางเดียวที่มีให้เลือกอยู่ตอนนี้ ก็คือการถอยทัพและหลบหนี
“เตรียมตัดผ่านแถวของศัตรูซะ!” เสวี่ยป้าตะโกนแล้วหันไปถามความคิดเห็นของคู่จวนทันที…เพราะอย่างน้อยกู้จวิ้นก็มีทั้งพลังจิตวิญญาณที่สูงและมีพลังแปลกประหลาดด้วย การตัดสินใจของเขาคงจะดีกว่าของคนอื่น “เราควรไปทางไหน?”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน..” จิตใจของกู้จวิ้นว่างเปล่า ตอนนี้เขามีแต่ความรู้สึกกระวนกระวายใจ นั่นทําให้เสวี่ยป้าต้องพึ่งพาสัญชาตญาณของตัวเองอีกรอบ
และครั้งนี้เขาเลือกที่จะพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับต้นไม้ที่ตายแล้วต้นนั้น กู้จวินและจางฮ่าวฮ่าวก็รีบมาแบกหลินต่อไปที่เปลหามทันที และหลังจากนั้นทั้งทีมก็ตัดสินใจย้ายออกจากศาลเจ้า เพื่อไปหาที่กบดานที่อื่นแทน
เพื่อการนั้นเขาต้องถ่วงเวลาเหล่าสัตว์ร้ายก่อน สมาชิกนักแม่นปืนคนหนึ่งยิงปืนทะลุคลื่นหมาป่า แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงแปลก ๆ ดังออกมาจากหมอก
ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของผู้คนจากบริษัทไล่เฉิง ดูเหมือนว่าพวกเขากําลังสวดมนต์เป็นภาษาต่างโลกกันอยู่ มันฟังดูเหมือนเพลงกล่อมทํานองยาวๆ
แม้ทํานองและเนื้อร้องจะฟังได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถเล็ดลอดเข้ามาในใจของทุกคนได้
และความรู้สึกเวียนหัว อาการบ้านหมุนและความปั่นป่วนในใจของจวินก็ปรากฏอีกครั้งและครั้งนี้ดูเหมือนจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาพึมพําด้วยเสียงแผ่วเบา “นี่มันฟังดูเหมือน… เพลงจากอีกโลกหนึ่ง” จากนั้นเขาก็พยายามเงื่อหูฟังอย่างเต็มที่
“การเริ่มต้นของชีวิต….สะท้อนจากความมืดและความไร้เสียงของอุโมงค์หิน”
“งู ตัวหนอน และปีศาจที่กําลังเต้นรําในความฝันของแม่”
“ตั้งแต่เช้าจรดค่ํา ความเจ็บปวด ความเจ็บปวด ความเจ็บปวด”
“เสร็จกัน!! พวกเรามาที่นี่ได้ยังไง..?” สมาชิกหน่วยนักแม่นปืนเดินออกไปห่างจากทุกคนประมาณสิบก้าว และเขาก็เห็นภาพที่คุ้นเคย…เมื่อครู่นี้พวกเขาเห็นและรู้ตัวกันอย่างชัดเจนว่าพวกเขากําลังเดินไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับศาลเจ้าเพื่อหาที่กบดานใหม่…ดังนั้นเขาจึงคิดว่าพวกเขาน่าจะกําลังออกจากศาลเจ้า
แต่เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ ที่พวกเขาอยู่…พวกเขาพบว่าพวกเขายังคงยืนอยู่ที่ศาลเจ้าเหมือนเดิม แต่ละคนได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ