ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 243 อวัยวะภายในล้มเหลวจนตาย (1)
พระสนมเอกผลักนางออก ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว “ไปเถิด ชิ่นเอ๋อร์ มีเจ้าอยู่ ข้าเชื่อว่าซื่อถิงจะไม่เป็นไรแน่”
นี่เป็นการเรียกนางโดยน้ำเสียงอ่อนโยนใจดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ไร้ซึ่งการตำหนิเหมือนดังเก่าก่อนอีกต่อไป อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมอมอเอ่ยเร่งมา จึงไม่มีเวลาได้พูดอันใดมากนัก ถือถาดเดินออกไป
หลังจากภายในห้องเงียบงันลง หลานถิงก็วิ่งเข้ามา ร้องไห้พลางพยุงพระสนมเอกลุกขึ้น ปลอบใจว่า “พระสนมเอกเพคะ ไม่เป็นไรแล้วเพคะ”
พระสนมเอกฝืนยืนขึ้น กำมือแน่นอย่างยากจะสังเกตเห็นได้ กุมของที่เพิ่งฉวยมาจากถาดได้เมื่อครู่เอาไว้ในฝ่ามือแน่น เอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “หลานถิง ฝากไปบอกพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนว่าข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
พอออกจากตำหนักเหยียนโซ่วมา แม้ฝนฟ้าจะเบาลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดตก
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปทางหอจื่อกวง เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับเสียงคนดังตามหลังมา
เมื่อครู่พระชายาพูดคุยกับพระสนมม่อที่หยางซินเตี้ยนเสร็จก็ออกมาสั่งงานรอบหนึ่ง ฉีไหวเอินไปประตูตำหนักเพื่อทูลแจ้งแก่องค์ชายสามแล้ว ยามนี้กำลังถือร่มพาขันทีสองนายเดินตามมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องเสด็จมาเขตพระราชฐาน กำลังอยู่ที่ประตูเฟิ่งเทียนขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่งถาดให้ขันทีน้อย วิ่งเหยียบย่ำฝนไปยังประตูเฟิ่งเทียนพร้อมกับฉีไหวเอิน
ราตรีแห่งฝนที่ไร้เดือนไร้ดาว สีแห่งราตรีกาลยิ่งมืดมนอนธการอย่างชัดเจน หน้าประตูข้าง แสงสว่างจากโคมไฟลุกโชนจึงได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
บรรดาองครักษ์ในชุดกันฝนที่ทำด้วยหญ้าหนวดมังกรห้อมล้อมเงาร่างสูงอันคุ้นเคยที่คลุมชุดกันฝนเอาไว้
ไม่ได้พบกันหลายวัน รูปร่างใต้หมวกสานผอมลงไม่น้อย แม้จะดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ขับให้ใบหน้าดูหล่อเหลากว่าเดิม ยามนี้ทราบแล้วว่าในวังเกิดเรื่องใดขึ้น ดวงหน้ากลับไร้ซึ่งอารมณ์ใดเคลื่อนไหวอยู่ มีเพียงความเข้มแข็งอดทน คล้ายหินที่ผ่าไปแตกเท่านั้น
นางไม่เคยคิดถึงเขาเหมือนยามนี้มาก่อน ทิ้งร่มลงโผไปยังข้างกายเขา กอดเอวเขาเอาไว้
ฉีไหวเอินจึงส่งสายให้ทุกคนพากันถอยแยกย้ายไปรอบด้าน
ซย่าโหวซื่อถิงถอดชุดกันลมมาคลุมบนร่างนาง กันนางไม่ให้ถูกฝนทำให้เปียกชื้นได้ มือข้างหนึ่งถือร่มไว้ อีกมือโอบเอวอ่อนนุ่มของนางเอาไว้แน่น พลางลูบหลังปลอบใจ
ครู่ต่อมา นางจึงเงยหน้าขึ้นจากอกเขา ทั่วทั้งเขตพระราชฐานยามนี้คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือคนตรงหน้านาง แต่กลับอมยิ้ม นัยน์ตาจดจ้อง เหมือนกำลังมองของล้ำค่าอันสูงส่งของแผ่นดินอยู่ คิ้วคมเรียวยาว จิตใจเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งไม่ย่อท้อดั่งภูผาสูงใหญ่ ดวงตาที่เหมือนดวงดาราคู่นั้นราวกับราตรีไร้ขอบเขตเป็นประกาย
เขาก็จะต้องทนต่อความทุกข์ยากทุกด่านไปให้ได้ แม้ว่าจะเพียงเพื่อให้ดวงตาหวานฉ่ำคล้ายเมล็ดซิ่งคู่นี้เต็มไปด้วยความสุขเท่านั้นก็ตาม เห็นนางอารมณ์มั่นคงบ้างแล้ว จึงกุมมือที่กำเป็นหมัดของนางไว้ในฝ่ามือใหญ่ ก้มหน้าลง “ไม่เป็นไรหรอก”
อยู่ข้างกายบุรุษอย่างเขา นางจะมีอันใดให้ต้องกังวลอีก
ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จะเป็นคนเป่ยเหรินหรือองค์ชายแห่งต้าเซวียน แต่สถานะหนึ่งจะไม่แปรเปลี่ยนไป นั่นก็คือสามีของนาง
นางเงยหน้าขึ้น ซบลงบนคางที่ซูบแหลมมีหนวดที่ยังไม่มีเวลาโกนของเขาไปมา จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ไปพบพระสนมเอกที่ตำหนักเย็นให้ฟังอย่างช้าๆ
แรกๆ ยังห่วงความรู้สึกของเขาอยู่ พิษครานั้นเป็นคนที่คิดไม่ถึงที่สุดลลงมือทำ ในใจย่อมรับไม่ได้ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นพบว่าตนคิดมากเกินไป บุรุษตรงหน้าตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกำลังฟังเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอย่างไรอย่างนั้น
พอเล่าจบ นางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ คว้ามือเขาเอาไว้ ไม่มี จึงคว้ามืออีกข้างขึ้นมา
ซย่าโหวซื่อถิงจ้องมอง แต่ได้ยินนางโวยวายขึ้นว่า “แหวนเล่า แหวนเล่า…” มิใช่ว่าสวมติดตัวไว้ตลอดหรอกหรือ เหตุใดยามจะใช้จึงสูญหายไร้เงาเช่นนี้เล่า!
คิ้วเขาผูกเป็นปม เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่อยากให้พูดถึงอีกแล้ว น้ำเสียงเขาไม่ค่อยพอใจนัก “จะเอามันไปทำอันใด”
“อยู่ที่ใด รีบเอาออกมาเร็ว” อวิ๋นหว่านชิ่นดึงแขนเสื้อเขาไว้
เสียงเขาขรึมขึ้นกว่าเดิม “ทิ้งไปแล้ว”
ทิ้งไปแล้วรึ อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าขาวซีด ล้อเล่นหรือไร
ซือเหยาอันที่มองอยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเดินเข้าไปหา “ท่านอ๋อง ขออภัยด้วยขอรับ…แหวนวงนั้น…บ่าวเก็บมันมาแล้ว” กล่าวจบ เขาก็ล้วงออกมาจากแขนเสื้อส่งไปให้
ผู้เป็นนายอารมณ์ชั่ววูบ เขากลับไม่อาจทนเห็นแหวนที่ผู้เป็นนายสวมไว้เกือบครึ่งชีวิตถูกฝนหายลับไปได้
อวิ๋นหว่านปรีดาสุดแสน นางพรูลมออกจากปาก ไม่เคยคิดว่าซือเหยาอันน่ารักเช่นนี้มาก่อน นางหยิบแหวนวงนั้นมา “กลับจวนไปจะให้ท่านอ๋องตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!”
ซือเหยาอันงุนงนหนัก เห็นเพียงเหนียงเหนียงนั่งลงยองๆ หามุมแหลมของอิฐบนพื้นที่โผล่ขึ้นมา ยกแหวนขึ้นทุบลงบนนั้น!
เป๊าะ เสียงแตกดังขึ้น ซย่าโหวซื่อถิงกับซือเหยาอันตกตะลึง แหวนหยกแตกออกเป็นสองส่วน แตกกระสานซ่านเซ็นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บริเวณส่วนที่หัก นึกไม่ถึงว่าจะเผยให้เห็นกระดาษรูปทรงเรียวยาวม้วนหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบม้วนกระดาษที่พับไว้แน่นหนาออกมา เดินกลับไปยังข้างกายเขา คลี่กระดาษที่ออกสีเหลืองเล็กน้อย ซือเหยาอันชะโงกหน้าเข้ามามอง บนนั้นมีตัวหนังสือแน่นขนัดเขียนเอาไว้เป็นทิวแถว มีบางส่วนที่เหมือนจะเป็นชื่อสมุนไพร จึงตกใจขึ้นมา “นี่คืออันใดหรือขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่งกระดาษไปให้ในมือซือเหยาอัน “เอากลับจวนไปให้หมออิง นี่เป็นวิธีถอนพิษ!”
ซือเหยาอันจิตใจเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง กระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน รีบถือกระดาษแผ่นนั้นดั่งได้รับของล้ำค่าเอาไว้ ไม่กล้าให้มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย เอาใส่ในแขนเสื้อด้วยความระมัดระวัง
ซย่าโหวซื่อถิงกลับมิได้ดีใจเหมือนกับซือเหยาอัน เขาเงียบงันลง
อวิ๋นหว่านชิ่นเดาว่าเขาคงจะอยู่ในอารมณ์เดียวกับนางยามที่ได้ยินพระสนมเอกบอกว่าวิธีถอนพิษอยู่ในแหวน นางคว้ามือที่อยู่ในแขนเสื้อของเขาเบาๆ “หากคิดตัดสินใจให้ท่านตกตายจริงๆ ก็คงไม่เอาวิธีถอนพิษใส่ไว้ในแหวนหรอกเจ้าค่ะ…สตรีในวังหลวงเป็นได้ยากนัก ยากไปเสียมากมายหลากหลายแบบ นางก็ไร้หนทางเช่นกัน”
เขารู้ว่านางพูดเพื่อจะให้เขาอารมณ์ดีขึ้น คนที่มีจิตใจเคียดแค้น ชนะคนอื่นแล้ว ก็ชนะตัวเองด้วยเช่นกัน แทบจะตายไปตลอดกาลแล้ว แต่นางไม่รู้ ตั้งแต่วันนั้นที่มีนาง ความทุกข์ยากอื่นใดล้วนเล็กน้อยไปจนสิ้น
กล้ามเนื้อบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาคลายลง พลิกมือไปกุมมือนางไว้ ดึงนางมาข้างลำคอ เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าวางใจข้ามิได้อ่อนแอเพียงนั้น เจ้าก็จะไม่มีชีวิตเช่นนั้นไปตลอดกาลเช่นกัน”
นางย่อมรู้ดีว่าเขาไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น นางแค่เจ็บปวดกับสิ่งที่เขาเผชิญมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งยามนี้เท่านั้นเอง ฤทธิ์เฉพาะตัวของขุยเหล่ยซั่นทำให้เขากลายเป็นคนหนักแน่นดั่งเขาไท่ซานคลื่นลมทำอันใดเขามิได้ แต่บางครั้งนางก็ยังอยากให้เขาคำรามร้องตะโกนด้วยโทสะออกมาสักยก จึงจะระบายความรู้สึกไม่ดีนี้ออกไปได้
นางเขย่งเท้าขึ้นเอ่ยข้างหูเขาว่า “ข้าเชื่อท่าน”
ฝนฟ้าไม่มีทีท่าจะเบาลง ยิ่งตกก็ยิ่งแรง ฉีไหวเอินเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงเอ่ยเร่งอยู่ข้างๆ
ซย่าโหวซื่อถิงปล่อยนาง นางเอ่ยเสียงเบาว่า “แม้เสด็จแม่จะถูกจับขังเข้าตำหนักเหยียนโซ่ว แต่ฝ่าบาทกลับมิได้ให้คนนอกรู้ หมายความว่ายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รอให้โทสะในวันนี้สงบลงก่อน ข้าจะหาโอกาสเกลี้ยกล่อมพระองค์เอง”
เกลี้ยกล่อม เฮอะ
กษัตริย์ไหนเลยจะให้เอาของปลอมอย่างเขามาปะปนกับของดีๆ ได้ง่ายเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสายเลือดของชนเผ่าศัตรูอีก ต่อให้เพียงแค่สงสัย ก็ไม่อาจปล่อยไปได้อยู่ดี
องค์ชายมากมายเพียงนั้น จะขาดเขาไปคนหนึ่งได้หรือ หากมีสายเลือดกษัตริย์เจือปนอยู่ กลับเป็นนักโทษพันปี
ครานี้ อย่าว่าแต่ความดีความชอบก่อนหน้านี้จะมลายไปสิ้นเลย เกรงว่าตำแหน่งกษัตริย์ก็ยากจะรักษาไว้ได้เช่นกัน
แต่นางยินดีจะจับมือลุยหรือถอยไปกับเขา เขาจะทำลายความมั่นใจของนางลงได้อย่างไร
เขาลูบปรอยผมสวยบนหน้าผากของนางครู่หนึ่ง สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน อมยิ้มเอ่ยว่า “ดี ขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้ว” มองจนนางหายไปจากสายตาแล้ว จึงได้หันหลังกลับ