The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1547 – ราชาลงสู่แดนอสูร
ตอนที่ 1547 – ราชาลงสู่แดนอสูร
แม้กระทั่งแม่ทัพกระดูกหักและคนอื่นในเรือลำหลักก็รู้สึกถึงความทรมานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กริ๊ก! กริ๊ก!
เสียงกลไกดังคืบคลานเข้ามาจากจักรวาลมืดมิด
เสียงแล่นมาถึงหูเทพอสูร พวกเขาใจหาย ลมหายใจรวดเร็วขึ้น ร่างกายนั้นกำลังตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่อย่างมิอาจบรรยาย
เสียงนั้นยังดังต่อไป มันชัดขึ้นและใกล้ขึ้นมาเรื่อย ๆ
มันเหมือนกับสัตว์อสูรกระหายเลือดน่าสะพรึงกลัวที่ค่อย ๆ เดินมาจากความมืดมิด
“อ๊ากก! ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
เทพอสูรคนหนึ่งทนแรงกดดันไม่ไหวและบุกออกไปด้วยตาแดงก่ำ
“ข้าจะสู้กับเจ้า!”
เทพอสูรหายตัวไปในจักรวาลมืดมิดเพื่อที่จะต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลกกับตัวตนที่กำลังคืบคลานเข้ามา
แต่มันก็เหมือนกับฝุ่นผงที่จมลงสู่ก้นบึ้งมืดมิด มันได้แต่หายลับไปโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร
เสียงกลไกยังคงดังต่อไป
เทพอสูรมากมายหวาดกลัวมาก พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรกันแน่?
ความกลัวนี้จะเกิดแค่กับมดปลวกที่พวกอสูรเคยฆ่าเท่านั้น!
ในเรือหลัก แม่ทัพเหงื่อแตกที่กลางหน้าผา กฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลูกตาจ้องมองแผ่นจานด้วยความเคร่งเครียดจนตาแดงฉาน
ในห้องบนเรือนั้นได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นของอสูรแต่ละคน
กริ๊ก!
เสียงดังชัดขึ้นกว่าครั้งใด มาแล้ว!!
ดวงตาของอสูรทั้งหมดมองสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่มาถึง!
เรือรบลำยักษ์ที่สะท้อนแสงโลหะที่มีขนาดเท่าโลกหลายใบต่อกันค่อย ๆ แล่นมาทางพวกเขา
รูปร่างของเรือรบนั้นเรียบง่ายมาก มันเหมือนกับจานบินที่กินเนื้อที่หลายสิบล้านศอก!
โลหะของตัวจานบินนั้นจัดเรียงกันอย่างซับซ้อน ทั้งหมดสร้างจากวัตถุดิบโลหะที่ไม่มีใครรู้จัก มันเชื่อมต่อกันด้วยวิธีประหลาดมาก
แค่ขนาดนั้นก็ใหญ่กว่าเรือรบทั้งหมดของพวกเขาต่อกันเป็นร้อยเท่า!
อสูรในเวลานี้เป็นเหมือนกับผุยผงเท่านั้น
กระบวนทัพป้องกันรูปตาข่ายนั้นเหมือนกับเรื่องล้อเล่น มันเหมือนกับใยแมงมุมที่พยายามจะจับวัวตัวใหญ่!
ความตกตะลึงในดวงวิญญาณนี้ทำให้พวกอสูรไม่กล้าเคลื่อนไหว
สิ่งนี้หรือที่จู่โจมพวกเขา?
บนเรือหลัก แม่ทัพกระดูกหักหายใจเข้าลึก
“นั่น…นั่นมันอะไรกัน?”
ตู้ม!
ลำแสงพลังงานที่มีพลังทำลายล้างสูงได้ให้คำตอบกับเขา
ปืนใหญ่หลายร้อยกระบอกยิงพลังมหาศาลที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ออกมาพร้อมกัน
ตู้ม!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
จักรวาลอันมืดมิดทำได้แค่ส่งเสียงคำราม ลำแสงที่ยิงออกมาเปล่งประกายทั่วจักรวาล
ทั้งจักรวาลได้รับแสงสว่างจนเปล่งประกาย
แต่ธารดารานั้นกลับเงียบกริบ
ลำแสงผ่านพ้นไป ทิ้งไว้แต่เรือรบที่เกือบถูกทำลาย อสูรมากมายที่อยู่กับแม่ทัพกระดูกหักไม่เหลืออยู่อีกแล้ว
นอกจากเรือรบลำหลัก ไม่เหลือสิ่งใดอยู่อีก
เหลือเพียงแค่เรือพัง ๆ กับแม่ทัพกระดูกหักที่บาดเจ็บสาหัส
ฟึ่บ!
เรือเล็กหลายสิบลำแล่นออกมาจากจานบิน ทหารอาณาจักรแดนเทพเข้ามาเก็บกวาดซากสนามรบ
“โอ้! สะอาดขนาดนี้จะหาของมีค่าเจอเหรอ?”
เหล่าทหารยิ้มแห้ง ๆ
“นี่เจ้า! ยังหวังคิดจะหาของมีค่าอยู่อีกรึ? ข้าอยากจะเอาพวกโง่อย่างเจ้ากลับไปให้หมดเลย!”
บนเรือเทพนภา เทพมากมายตกตะลึงกับสิ่งทีเ่กิดขึ้น
พวกแต่เตรียมตัวที่จะต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม
ทัพอสูรที่บ่อนทำลายจักรวาลมาหลายพันปี ทัพอสูรที่มีเทพอสูรที่แดนอสูรภาคภูมิใจ…ถูกทำลายย่อยยับไม่เหลือซาก!
ที่ห้องควบคุม ซือหยูเอนกายบนบัลลังก์ เขามองหน้าจอหลักที่แสดงภาพสนามรบด้านนอก
ใบหน้าของเขาสงบนิ่งมิได้แปลกใจอะไร
“ทุกท่าน โลกอสูรอยู่ตรงหน้าแล้ว!”
เหล่าเทพมองโลกใบใหญ่ที่เหมือนกับมดลูกของสตรี ทุกดวงวิญญาณสั่นสะเทือน
“นั่นคือโลกอสูรหรือ!”
เหล่าเทพเพียงแค่เคยได้ยิน แต่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นโลกอสูรของจริง
นี่คือครั้งแรกและครั้งเดียวที่พวกเขาได้ลงมือจู่โจมโลกอสูร ไม่เคยมีใครจินตนาการเรื่องเช่นนี้มาก่อน!
แม้กระทั่งเทพพันธมิตรประจิมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ได้สวนกลับโลกอสูร
ทางเข้าโลกอสูรนั้นอยู่ตรงกลางมดลูก มันเป็นวายุใหญ่ที่ปล่อยพลังสีดำออกมา
ข้างในโลกอสูรนั้นคือดินแดนอสูรที่เป็นภัยคุกคามของจักรวาลมาหลายพันปี!
เหล่าเทพข่มความกลัวและความตื่นเต้น ทุกคนต่างมองทางเข้าแดนอสูร
เสียงอันสงบนิ่งของซือหยูดังผ่านมา
“ทุกคน เตรียมต่อสู้จนตัวตายได้แล้ว!”
เสียงอันชัดเจนของเขาเป็นเหมือนวาจาสัตย์ก่อนสงคราม มันควรจะทำให้หัวใจและจิตใจของพวกเขาถูกปลุกเร้า แต่เมื่อทุกคนได้ยิน พวกเขากลับยิ้มอย่างขมขื่น
ด้วยเรือรบลำนี้ พวกเขาจะต้องต่อสู้แลกชีวิตด้วยหรือ? พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้ปรากฏตัวด้วยซ้ำไป
“ฆ่ามัน!”
แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเนื้อเต้นเกินบรรยาย
เรือเทพนภาแล่นไปสู่วายุทมิฬ
มันเหมือนกับศรธนูคมกริบที่แทงเข้าไปในมดลูก
ผู้คนในจักรวาลได้บุกเข้าไปสู่โลกอสูรเป็นครั้งแรก!!
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเอง เรือลำเล็กค่อย ๆ แล่นออกมา หนึ่งคนมีดวงวิญญาณครึ่งดวง ส่วนอีกคนไร้ซึ่งฐานพลัง
ทั้งคู่คือฑากิณีและกู้ไทซูนั้นเอง แม้ว่าจะหนีมาได้ก่อน แต่ความเร็วนั้นก็ไม่มีทางเหนือกว่าเรือเทพนภา
ดูจากธารดาราที่สภาพยุ่งเหยิง ทั้งสองงุนงง
ในโลกอสูร
มเหสีหยุนเซี่ยกับหลี่เฟยหยุดได้พูดคุยกันจนถึงจุดสิ้นสุด
มเหสีหยุนเซี่ยกล่าว
“ทัพอสูรแรกที่สะสมกำลังมากกว่าครึ่งโลกอสูรไม่ควรจะบุ่มบ่ามเช่นนั้น” หลี่เฟยกล่าว
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านจัดแจง ตราบเท่าที่ยักษ์ทะเลขมดูดกลืนจักรวาลได้ นั่นก็มากพอแล้ว”
ในตอนนั้นเอง หยกสื่อสารบนข้อมือมเหสีหยุนเซี่ยส่งเสียงดังระรัว
หืม? มเหสีหยุนเซี่ยขมวดคิ้ว นางทุบหยกในทันที
นางได้ฟังเสียงอันเร่งรีบ
“ท่านมเหสี ทัพแรงถูกข้าศึกจู่โจม พวกเราใช้สัญญาณระดับหนึ่งไปแล้ว!”
หลี่เฟยตกใจ
“สัญญาณรึ? สัญญาณระดับหนึ่งถูกใช้เมื่อโลกอสูรถูกภัยคุกคามเท่านั้น มันเกิดขึ้นครั้งเดียวเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนที่ยักษ์ทะเลขมถูกพลังลึกลับยิงใส่!”
“หรือว่าแม่ทัพกระดูกหักใช้สัญญาณผิดระดับกัน?”
หลี่เฟยไม่เชื่อหูอยู่เล็กน้อย
มเหสีหยุนเซี่ยสีหน้าหม่นหมอง นางส่ายหน้า
“แม่ทัพกระดูกหักคือผู้นำศาลอสูร มีพลังเป็นสองรองเพียงเทพอสูรหกวิธี ทั้งแข็งแกร่งและมีประสบการณ์นำทัพมากมาย เทพอสูรหกวิถีชมเชยหลายครั้งและฝึกฝนให้เขาได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งตอ่ไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำเรื่องผิดพลาดแบบนั้น!”
จากนั้นมเหสีหยุนเซี่ยก็มองดูหยกสื่อสารอีกครั้ง
“แม่ทัพกระดูกหัก ตอนนี้เป็นเช่นใดบ้าง? ข้าศึกแบบไหนที่บุกเข้ามา?”
แต่น่าแปลกที่หยกสื่อสารเงียบ
มเหสีหยุนเซี่ยขมวดคิ้ว
“แปลกนัก ศัตรูมีวิธีป้องกันการสื่อสารด้วยหรือ?”
หลังจากหยุดคิด มเหสีหยุนเซี่ยพูดทันที
“หลี่เฟย ส่งหน่วยเทพไปสืบเรื่องเร็ว เจ้าจะต้องรู้เรื่องสถานการณ์ที่โลกภายนอก แล้วก็เคลื่อนทัพอสูรที่สองในนามของข้าเตรียมช่วยทัพแรกซะ!”
หลี่เฟยพยักหน้า
“ย่อมได้!”
มเหสีหยุนเซี่ยมองหลี่เฟยที่บินออกไปและเอามือทาบอก
“ความรู้สึกอึดอัดใจนี่มันคืออะไรกัน?”
จากนั้นมเหสีหยุนเซี่ยก็หายตัวไปจากตำหนักอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากหลี่เฟยส่งหน่วเยทพออกไป เขาก็เคลื่อนทัพอสูรที่สองแห่งศาลอสูรออกจากโลกอสูรไปด้วย
แต่ในขณะนั้นเอง ท้องนภาเหนือตำหนักหลวงได้เกิดสายฟ้าแลบ วายุขนาดใหญ่พัดพาอย่างเงียบเชียบ
หลี่เฟยตกตะลึง
“ทัพแรกถอยมาเร็วขนาดนี้จนกลับมาในโลกอสูรเชียวหรือ?”
แต่จากนั้นหลี่เฟยก็เห็นถึงความผิดปกติ
“ไม่สิ! ทำไมวายุยังขยายอยู่เล่า? เรือรบทั้งหมดไม่น่าจะทำให้เกิดวายุขนดานี้ได้”
เปรี๊ยะ!
เสียงวายุสะบั้นฟ้าดินจนฉีกขาด
วายุมิอาจทนรับแรงขยายได้ มันฉีกขาดและขยายเป็นรอยแยกมิติ
เรือรบลำใหญ่ที่ทำให้วายุฉีกขาดเองก็เบียดเข้ามาข้างใน
ขนาดของมันนั้นแทบไม่น่าเชื่อ
ทัพอสูรที่สองแห่งศาลอสูรตกตะลึง
เรือรบมันใหญ่เกินไป!
หลี่เฟยเบิตตากว้าง เขาแทบจะพูดไม่ออก
“เป็นไปได้ด้วยหรือ? อาวุธยุคอดีต เรือเทพนภา!! เป็นไปไม่ได้ มันมาอยู่ในธารดาราได้ยังไง?‘
ในดวงตานั้นสั่นระริก แต่เขายังคงใจเย็น เขาส่งสัญญาณทั่วทั้งเมืองหลวง “ท่านมเหสีสั่งการ ข้าศึกบุกมาแล้ว ทัพอสูรสงจัดการศัตรูให้สิ้นซาก!”
ทัพอสูรที่สองเลิกตั้งกระบวนตั้งรับและเป็นฝ่ายบุกไปที่เรือเทพนภา
อสูรกึ่งเทพหลายหมื่นบินขึ้นไปล้อมรอบเรือทเพนภา
เสียงดังมาจากเรือ
“โอ้? ยังเหลืออสูรในศาลอสูรอีกรึ? จัดการให้หมดจะเป็นอะไรไหมนะ?”
ตู้ม!
ลำแสงไม่รู้จบจากปืนใหญ่ยิงลงมา
ภายใต้ปืนใหญ่นั้น ไม่ว่าเทพจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ได้แต่กลายเป็นฝุ่นผงตกลงจากฟ้า
เพียงพริบตาเดียวโลกอสูรก็เงียบกริบ
อสูรมากมายจ้องมองเรือเทพนภาด้วยสายตาว่างเปล่า เหล่าอสูรมิอาจเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย
ทัพที่สองของแดนอสูร…จบแล้ว…ไม่เหลืออยู่แล้วหรือ?
ด้านในเรือเทพนภา เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“มเหสีหยุนเซี่ย เจ้าจะหนีไปไหน!”
ตู้ม!
ลำแสงทะลวงเข้าไปในตำหนัก มันระเบิดตำหนักจนกลายเป็นหลุมลึก
ด้านในหลุมลึกชั้นมีชั้นม่านพลังป้องกันสีเลือดอยู่ พลังอสูรสุดขั้วอยู่ที่ด้านในตำหนัก
มันคือสิ่งที่ลึกลับที่สุดในแดนอสูร นั่นคือศาลอสูร!
สตรีที่มีร่างกายสง่างามพร้อมกับมงกุฎวิหคเพลิงบนศีรษะยืนขึ้น นางตกตะลึง น้ำเสียงนั้นแสดงความร้อนรนในทุกคำพูด
“เจ้า เจ้ายังไม่ตาย!!”