กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! - บทที่ 964.3 ดื่มสุราหมดจอก
ทว่าต่อให้เป็ นเช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังมีศึก ปิดยุ้งฉาง ของหย่ง โจวที่โหดร ้ายจนนึกว่า จะไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ นับแต่นั้นมาใต้หล้ามืด สลัวก็มีสายโจรขโมยข้าวที่กระจัดกระจายไปสี่ ทิศเพิ่มเข้ามา
ส่วนหวงกานที่มีฐานะเป็ นศิษย์น้องของนางกับเจ้าอารามผู้เฒ่าก็ ยิ่งตายด้วยน้ามือของอวี๋โต้ว อีกทั้งหวงกานยังตายอยู่ในอาราม เสวียนตูด้วย!
ดังนั้นก่อนจะไปเยือนยงโจว หลงชินผู้จึงตัดสินใจว่าจะอ้อม เส้นทางออกไป กลับไปยัง บ้านเกิด มุ่งหน้าไปเยือนพรรคเซียนจัง ก่อนสักรอบหนึ่ง
ก็เพื่อประเมินสิบคนในใต้หล้าอีกฉบับที่สามารถ “พิชิตใจคน” ได้มากกว่าเดิม
พูดง่ายๆ ก็คือ นอกจากจะต้องมีพลังในการโน้มน้าวแล้ว ยังต้อง มีมุขตลกมากกว่านี้ สามารถดึงดูดสายตาและหัวข้อสนทนาของคน ได้มากกว่าเดิมเพื่อกลบทับอิทธิพลที่มาจาก อันดับรายชื่อก่อนหน้า นี้
ด้วยนิสัยของหวังซุน ต่อให้มีสถานะเป็ น “สิบคนในใต้หล้า” ก็คง ไม่สมชื่อ นางเองก็ ไม่มีทางยอมให้คนอื่นอย่างนอบน้อมแน่นอน
ต่อให้ทั้งๆ ที่รู ้ดีถึงจิตสังหารอันเข้มข้นของ “แถลงการณ์เรียก ระดมพล ฉบับนี้ หวังซุนก็มีแต่จะรับมาอย่างผึ่งผาย หนีไม่พ้นว่าจะ ยอมออกกระบี่อย่างใจกว้างไม่อินังขังขอบ
หากจะบอกว่าให้อาศัยรายงานของอารามเสวียนตูเอ่ยค าพูด คลุมเครือไม่ปะติดปะ ต่อ จงใจเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น คล้าย ภรรยาตัวน้อยที่ได้รับความไม่เป็ นธรรมที่แถไป * เรื่องโน้นทีเรื่องนี้ที นั่นก็คือเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้ า ทั้งกินปูนร ้อนท้อง ทั้งเปลืองแรงเปล่า ง่ายที่จะยิ่งอธิบายก็ยิ่งก็ให้เกิดความคลางแคลงใจ มีแต่จะได้ผลลัพธ ์ ในทางตรงกันข้าม อีก ทั้งนี่ก็ไม่ใช่การกระทาที่สอดคล้องกับนิสัย ของนักพรตอารามเสวียนตูเลย
หวังซุนกล่าว “ไม่เป็ นไร รอให้ข้าเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ คนที่รอ ดูเรื่องตลกก็จะ หัวเราะกันไม่ออกแล้ว”
หลงชินผู่เอ่ยอย่างเศร ้าใจ “แต่ข้ากลับไม่อยากให้เจ้าเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่”
หวังซุนเงียบงันอย่างที่หาได้ยาก นางต้องคิดหาคาพูดเหมาะๆ อยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เปลี่ยนคนที่ชอบเถอะ”
หลงชินผู้ดื่มหล้าในกาจนหมด คลี่ยิ้มสง่างาม “ยาก ยากกว่าให้ หวังชุนชอบข้ามากนัก”
หวังซุนเงียบไม่ตอบ
หลงชินผู่เงยหน้าขึ้น พึมพาเสียงเบา “หิมะจะตกอีกแล้ว”
หิมะใหญ่ครั้งนี้จะต้องตกหนักมากอย่างแน่นอน
หากไม่นับเรื่องความเห็นแก่ตัวในใจของเขา ม้วนภาพซุนเขา สายน้าที่ค่อยๆ คลี่กาง เผยมุมหนึ่งให้เห็นแล้วภาพนั้น จะต้องยิ่งใหญ่ ตระการตาน่าดูชมมากแน่นอน
หลงชินผู่ลุกขึ้นบอกลา เดินช ้าๆ ออกไปจากป่าท้อ ไม่ทะยานลม ไม่หดย่อพื้นที่ แค่ เดินทีละก้าวออกไปจากป่าท้อเท่านั้น ค่อยๆ จาก ไปจนพ้นจากการมองเห็นของสตรีที่อยู่ ด้านหลัง
นักพรตซุนมาอยู่ข้างกายศิษย์พี่หญิง มองหลงชินผู้ที่จากไป อย่างหม่นหมอง เรื่อง แบบนี้ คนนอกมิอาจพูดอะไรได้
หวังซุนพลันเอ่ยว่า “หากว่าซึ่งเหมาหลูถือก าเนิดในใต้หล้า ไพศาล จะดียิ่งกว่านี้หรือไม่
ลังเลอยู่ชั่วขณะ นักพรตซุนก็เอ่ยอย่างขมขื่นเล็กน้อย “หากว่า เจ้าเด็กนี้ไปอยู่ป๋ ายอวี้ จึงแต่แรก ไม่แน่ว่าทุกวันนี้อาจได้เป็ นเจ้า ลัทธิช่งอย่างสมเกียรติไปแล้ว”
หวังซุนกล่าว “เหตุผลจะพูดกันแบบนี้ไม่ได้ ข้าเชื่อว่าซ่งเหมาหลู อาจจะเกลียดแค้นอารามเสวียนตู ข้าและเจ้า แต่เขาไม่มีทางเสียใจ ภายหลังที่ได้มาฝึกตนในอารามเสวียนตูแน่นอน”
นักพรตซุนอิ่มรับหนึ่งที “นี่เป็ นเรื่องที่เห็นชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้อง สงสัยเลย”
หวังซุนกล่าว “ในเมื่อทั้งๆ ที่รู ้ดีว่าเขาไม่มีทางเสียใจกับเรื่องนี้ พวกเราที่เป็ นผู้อาวุโสก็ ยิ่งละอายใจมากกว่าเดิมแล้ว”
นักพรตซุนเอ่ย “จะให้ตบบ้องหูตัวเองอยู่ทุกวันก็คงไม่ได้กระมัง”
หวังซุนกล่าว “เจ้าสามารถยื่นหน้ามาได้ ข้ามีสองมือ เอามือหนึ่ง ออกมาจะมีอะไรยาก ตรงไหน”
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด ศิษย์พี่หญิงยังคงมีความคิดดีๆ อยู่ เช่นนี้เสมอ
ลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างหวงกานศิษย์น้องเล็ก ศิษย์หลานซึ่ง เหมาหลู
คือดอกไม้ที่บานในกาแพงแต่สิ่งกลิ่นหอมออกไปนอกกาแพง อยู่ในหย่งโจวที่ไม่ได้มี อาณาเขตติดกับฉีโจวแห่งนั้น ก่อตั้งสานัก ขึ้นมาเป็ นของตัวเอง สายเต๋าเจริญรุ่งเรือง มีพลัง อานาจยิ่งใหญ่ คู่ควรกับค ากล่าวว่า “ในอดีตไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกใน อนาคต
แต่เพียงแค่เพราะศึกปิ ดยุ้งฉางของหย่งโจวที่คลื่นมรสุมโถม กระหน่าครานั้น ทางฝั่ง ของอารามเสวียนตูนี้ก็ไม่รู ้ว่าเหตุใดถึงได้ เลือกที่จะนิ่งดูดาย ว่ากันว่าซุนไหวจงยังออกคาสั่ง ด้วยตัวเองว่าห้าม ไม่ให้ใครออกไปจากอารามเต๋า มุ่งหน้าไปให้ความช่วยเหลือซ่งเหมา หลูที่ หย่งโจวนี่จึงเป็ นเหตุให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของซ่งเหมาหลูกลุ่ม นั้น ที่ตายก็ตายไป ที่หนีก็หนี ไป สุดท้ายหลงเหลือคนเพียงหยิบมือที่
พลัดที่นาคาที่อยู่ ประหนึ่งสุนัขที่ไร ้บ้านให้กลับ กระจายตัวอยู่ใน พื้นที่ของหลายมณฑลเว้นจากหย่งโจวและฉีโจว ถือว่าหยัดยืนอย่าง มั่นคง ได้อย่างยากลาบาก ช่วยสืบทอดสายการสืบทอดที่ควันธูป กระจัดกระจายไม่กี่สายให้กับ อาจารย์ปู่หวงกานและอาจารย์ซ่งเหมา หลู
และผู้ฝึ กตนที่ไม่เป็ นไล้เป็ นพายของสายเหล่านี้ ความเกลียด แค้นที่มีต่ออารามเสวียนตูกลับไม่ได้น้อยไปกว่าป๋ ายอวี่จิงเลย
ยิ่งเป็ นเต้ากวานที่อายุมากเท่าไร โดยเฉพาะผู้เฒ่าที่ผ่าน สงครามครั้งนั้นมา ก็ยิ่งมิ อาจปล่อยวางกับเรื่องของอารามเสวียนตู ได้มากเท่านั้น
หย่งโจวที่กว้างใหญ่ไพศาล แคว้นมากมายในหนึ่งมณฑล ล้วน ยกย่องบูชาราชครูคน หนึ่งร่วมกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ปีนั้นแม้ซ่งเหมาหลจะไม่ได้ก่อตั้งลัทธิตั้งตนเป็ นบรรพจารย์ แต่ กลับเป็ นเจ้าลัทธิของ ลัทธิหนึ่งอย่างแท้จริงได้แล้ว
นี่คือวีรกรรมที่มากพอจะเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนใน ประวัติศาสตร ์และจะไม่มี ปรากฏอีกในอนาคตกาล
คล้ายคลึงกับการที่หลินเจียงเซียนถูกคนเรียกขานอย่างให้ความ เคารพว่า “หลินซือ” ปี นั้นซึ่งเหมาหลูก็ถูกบนภูเขาเรียกขานอย่างให้ ความเคารพว่า “ซ่งซือ” เช่นเดียวกัน อีกทั้งยัง ไม่เรียกฉายาของเขา ด้วย
ซ่งเหมาหลูกับจางไห่เฟิงที่มีฉายาว่า “เจ้าลัทธิน้อย” แห่งป๋ ายอวี่ จิงผู้นั้น เคยถูกขนานนามว่าเป็ นหยกคู่แห่งใต้หล้า
ในสายตาของโลกภายนอก นักพรตสายของหย่งโจวนี้ แม้ว่าจะ พ่ายแพ้แต่ก็พ่ายแพ้ อย่างมีเกียรติ ซ่งเหมาหลูที่เป็ นเจ้าลัทธิ แม้จะ ตายแต่ก็ตายอย่างสมเกียรติ
ซ่งเหมาหลุยอมให้กายดับมรรคาสลาย แต่ก็ไม่ยอมมีชีวิตอยู่ รอดไปวันๆ ด้วยการถูก กักตัวอยู่ในถ้าแยนเสียตาหนักเจิ้นเยว่ ของป๋ ายอวี่จิง
ว่ากันว่าซ่งเหมาหลูเคยกล่าวไว้ว่า หากผินเต้าจะไปเยือนป๋ ายอวี้ จิงจริงๆ ก็จะทั้งไม่ไป เป็ นแขก แล้วก็ไม่ไปเป็ นนักโทษ มีแต่จะไปถาม กระบี่กับพวกเจ้าเท่านั้น
การที่ซุนไหวจงเป็ นฝ่ ายไปเยือนราชวงศ์ชิงเสินด้วยตัวเองเพื่อ ไปหาหวังหยวนลู่โจรขโมยข้าวสารผู้นั้น ตอนนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่ายัง เอ่ยหยอกล้อว่า เป็ นบรรพบุรุษของหวังหยวนลู่ แต่อันที่จริงใน ความหมายบางอย่างแล้ว ก็ถือว่าไม่ได้เป็ นแค่ค าหยอกล้ออย่างเดียว เท่า นั้นจริงๆ
เพียงแต่ว่าสายโจรขโมยข้าวในทุกวันนี้ อันที่จริงกลับไม่เหมือน นักพรตหย่งโจวในปี นั้นสักเท่าไรแล้ว พวกที่จับปลาในน้าขุ่นมี ค่อนข้างมาก โองการส่วนตัวปะปนกันหลากหลาย บวกกับที่เรื่องนี้ คือข้อต้องห้ามของป๋ ายอวี้จิง ไม่ถูกอารามเต๋และทางการบันทึกลงใน
เอกสารประวัติศาสตร ์ เมื่อเวลานานวันเข้า เป็ นเหตุให้ผู้ฝึกตนรุ่น เยาว์ของสายโจรขโมย ข้าวในทุกวันนี้ไม่รู ้เลยว่าระบบสายสืบทอด ของบ้านตน ทั้งๆ ที่การฝึกตนคือวิชาที่ถูกต้อง ชอบธรรมของลัทธิ เต๋าแล้ว ไยถึงกลายมาเป็ น ‘โจรขโมยข้าว’ ไปเสียได้?
ประวัติศาสตร ์คือคนแก่ที่ขี้หลงขี้ลืม ถ้าอย่างนั้นตารา ประวัติศาสตร ์ก็คือคนผอมแห้ง คนหนึ่ง
ดังนั้นถึงได้เล่าลือกันว่าในอารามเสวียนตูมีกฎศาลบรรพจารย์ที่ ไม่เป็ นลายลักษณ์ อักษรอยู่ข้อหนึ่งซึ่งจะสืบทอดกันปากต่อปาก ไม่ มีการจดลงบันทึก บอกเตือนกับนักพรตที่ ศึกษาเล่าเรียนอยู่ใน อารามและคนร่วมสายเต๋าสายเก่าดั้งเดิมทั้งหลายเหล่านั้นว่า วันใด พบเจอกันบนเส้นทางโดยบังเอิญ โดนตีไม่เอาคืน โดนด่าไม่ตอบโต้ ไม่ว่าจะสู้ได้หรือสู้ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ห้ามลงไม้ลงมือ และนี่ก็ถือว่าเป็ น เรื่องประหลาดที่มีเพียงหนึ่งเดียว
ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูกล้าด่าป๋ ายอวี้จิง กล้าด่าคนทั่ว หล้า
มีเพียงอารามเต๋ สานักเต๋าสิบกว่าแห่งที่อยู่ในสายเต๋พวกนี้ เท่านั้นที่ต่อให้จะเป็ น นักพรตน้อยที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในอารามก็ยังกล้า ด่า แล้วก็ล้วนพากันด่าซุนไหวจง
ส่วนภูเขาปิงเจี่ย ในฐานะสานักใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดเพียงหนึ่ง เดียวที่เป็ นพันธมิตรกับซ่งเหมาหลูอย่างเปิ ดเผย แม้จะบอกว่าดู
เหมือนจะได้รับค าเตือนล่วงหน้าจากซ่งเหมาหลูมาก่อนแล้ว จึงเป็ น ฝ่ ายฉีกสัญญาก่อนฝ่ ายเดียว เป็ นเหตุให้ภูเขาปิงเจี่ยไม่ได้รับความ เสียหายด้านพลังต้นกาเนิด แต่ภูเขาปิงเงี่ยนอกจากหลงซินผู่แล้วก็ ล้วนมีความรู ้สึกที่ไม่ดี ต่อทั้งนักพรตซุนและอารามเสวียนตูกันทั้งนั้น
เจ้านักพรตซุนฝึ กตนมาหลายพันปี เวทกระบี่เลิศล้าค้าฟ้ า นอกจากจะด่าป๋ ายอวี่จิงอย่างไม่เจ็บไม่คันแค่ไม่กี่ประโยคแล้ว ยังจะ ท าอะไรอีก? เจ้าจะกล้าท าอะไร?
เห็นว่าศิษย์พี่หญิงไม่พูดจา นักพรตซุนก็เอ่ยต่ออีกว่า “ศิษย์น้อง คือศิษย์น้อง ทางฝั่ง ของข้า จานฉิงและตี๋หยวนเพิ่งสองคนนั้น บวก กับสองคนของทางฝั่งท่าน ต่างก็เป็ นตัวของ ตัวเองกันหมดแล้ว ข้า เชื่อว่าศิษย์น้องเล็กเองก็คงไม่ยินดีให้พวกเราลาบากตรากตรากันถึง เพียงนี้ หากศิษย์พี่หญิงยังไม่ลืม ตอนนั้นพวกเราที่เป็ นคนร่วมสานัก เคยพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน โดยเฉพาะ มีเพียงความคิดของศิษย์น้องเล็ก เท่านั้นที่พิเศษที่สุด อยู่ห่างจากความคิดของ พวกเราไปไกลที่สุด”
หวังซุนเอนหลังพิงต้นท้อต้นหนึ่ง สองแขนกอดอก เชิดหน้าขึ้น น้อยๆ จ้องเขม็งไปที่ซุนไหวจง
คล้ายกาลังพูดว่า เหล่าเหนียงยุ่งวุ่นวายอย่างเหนื่อยยากมานาน ถึงพันกว่าปี พอถึง เวลาเข้าจริงๆ เจ้าจะมาเป็ นคนตัดสินใจแทนข้ารี? เสี่ยวซุนเจ้ากวนโอ้ยหรืออยากโดนทุบกันแน่ ไหน ลองพูดให้ข้าฟัง ชัดๆ สิ
นี่ต่างจากการที่เหมาหลูถ่ายเสร็จแล้วเจ้าไม่เอากระดาษเช็ดกัน ตรงไหน?
เพียงแต่พอคิดอย่างนี้ หวังซุนก็รู ้สึกผิดต่อศิษย์น้องเล็กอย่าง ห้ามไม่ได้
ซุนไหวจงบากหน้าเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิง ฟังข้าสักคาเถอะ”
หวังซุนยังคงเงียบไม่เอ่ยอะไร
ซุนไหวจงถอนหายใจ “ศิษย์พี่หญิง เรื่องที่พวกเราทา บางทีอาจ ทาให้ศิษย์น้องเล็กไม่ ยินยอม ไม่รู ้สึกคุ้มค่า ไม่รู ้สึกสาแก่ใจยิ่ง กว่าเดิมก็ได้”
หวังซุนถอนสายตากลับมา อืมรับเบาๆ หนึ่งคา
ทีนี้ถึงคราวที่ซุนไหวจงจะไม่แน่ ใจบ้างแล้ว จึงถามอย่าง ระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่หญิง วางได้ลงจริงๆ หรือ?”
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไร”
หวังซุนพึมพ า “ก็แค่จู่ๆ ค้นพบว่าดูเหมือนใกล้จะจ ารูปร่าง หน้าตาของหวงกานไม่ค่อย ได้แล้ว ข้ารู ้สึกเสียใจเล็กน้อย”
เพียงแค่ประโยคเดียวนี้กลับทาให้เจ้าอารามผู้เฒ่ารีบหันหน้าไป ทางอื่น ไม่กล้ามองศิษย์พี่หญิงอีก
หวังซุนโบกมือ “อย่ารบกวนการฝึ กตนของข้า จะไปไหนก็ไป เถอะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับเงียบๆ มายังห้องหนังสือแห่งหนึ่งที่ ไม่มีเจ้าของมานาน หลายปีแล้ว
ในห้องหนังสือแขวนกลอนคู่ไว้บทหนึ่ง เป็ นลายมือของศิษย์น้อง เล็ก
ผีผาส้มเหลืองหลีเขียว (หวงกานชิงหลี่) นกกระเรียนเดียวดาย ทะยานสู่ฟ้ าทักษิณ ควรทาเรื่องที่ควรทาในทุกยุคทุกสมัย
เผิงไหล ยิ่งโจว ฟางหู (สามภูเขาเขียนในตานานของจีน) เจิน เซียนทะยานลมเยื้องย่าง สู่ขุนเขาอุดร หมายจะเป็ นคนที่พันปีมิอาจ ขาดในโลกมนุษย์
คนในอดีตเรื่องราวในอดีต คนเล่านิทานไม่อ่อนเยาว์อีกต่อไป แล้ว แล้วนับประสา อะไรกับคนในตาราพวกนั้นเล่า
เจ้าอารามผู้เฒ่าหยิบไม้กวาดและที่ตักผงที่วางอยู่ในมุมกาแพง ขึ้นมา เริ่มปัดกวาด ห้องหนังสือที่ไม่มีฝุ่นสักเม็ด
หลังปิ ดประตูลงแล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ไปยังกระท่อมที่พัก ของป๋ ายเหย่แล้วก็ไม่เกรง ใจป๋ ายเหย่ ถึงกับต้มไข่ให้ตัวเอง
เจ้าอารามผู้เฒ่าหยิบไข่ต้มที่ต้มสุกแล้วขึ้นมาฟองหนึ่ง ป๋ ายเหย่ ส่ายหน้า เจ้าอารามผู้เฒ่าจึงเอาไข่ต้มเคาะโต๊ะเบาๆ ยัดกลืนเข้าไป ทั้งลูก พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “ปีนั้นก็เป็ นศิษย์น้องเล็กที่อ่านตารามาก ที่สุด ทั้งคัมภีร ์พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ของลัทธิพุทธก็ล้วนอ่านมาเยอะมาก บางทีเขาน่าจะอ่านต าราของ
ลัทธิพุทธทั้งหมดที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวครบแล้วก็ได้ แน่นอนว่านี่ก็ เกี่ยวข้องกับการที่ใต้หล้าของพวกเรามี คัมภีร ์ลัทธิพุทธไม่เยอะด้วย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหยิบไข่ต้มขึ้นมาอีกฟอง พูดกลั้วหัวเราะว่า “ท าลายพันธนาการแห่ง ความไม่รู ้และกิเลส หลุดพ้นจากเกิดแก่เจ็บ ตายและความทุกข์ยาก”
ป๋ ายเหย่เพียงแค่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
เจ้าอารามผู้เฒ่ากินไข่ต้มไปสามฟองแล้วก็ปัดมือ “เพราะ ความเห็นแก่ตัว เกี่ยวพันไป ทั่วใต้หล้า หาใช่สิ่งที่ข้าปรารถนาไม่”
ผู้เฒ่ามีสีหน้าเฉยเมย หยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่ออีกว่า “แต่ หากสถานการณ์มิอาจ หยุดยั้ง ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่ให้เป็ นเช่นนี้ แล้ว”
ป๋ ายเหย่เอ่ยว่า “ในเมื่อคิดไปมากมายขนาดนั้นแล้ว ยังจะคิดอีก มากมายขนาดนั้นไปท าไม”
นักพรตเฒ่าหัวเราะอย่างรู ้ทัน พยักหน้าเอ่ย “มีเหตุผล”
ทาเรื่องที่สมควรทาในทุกยุคทุกสมัย ต้องการเป็ นคนที่พันปีใน โลกมนุษย์มิอาจขาด
หากเรื่องที่ต้องทากับคนที่มิอาจขาด จ าเป็ นต้องเลือกอย่างใด อย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็เลือกอย่างแรกทิ้งอย่างหลัง
เด็กน้อยในหมู่ชาวบ้านต่างก็เคยเล่นนกอินทรีจับลูกเจี๊ยบ (หรือ การละเล่นงูกินหางของไทย) กันมาก่อน ก็เหมือนลูกศิษย์ปิดส านัก ของอาจารย์ เหมือนศิษย์น้องเล็กของศิษย์พี่ ชายหญิงในสานักแห่ง หนึ่ง
หวงกาน ซ่งเหมาหลู อาจารย์และศิษย์คู่นี้ คนหนึ่งคือลูกศิษย์ปิด สานักของเจ้าอาราม คนก่อน คนหนึ่งคือลูกศิษย์ปิดสานักของฝ่ าย หลัง
อารามเสวียนดูที่กว้างใหญ่ กลับมิอาจปกป้ องคนทั้งสองให้ดีได้
ต่อให้มีความลาบากใจที่มิอาจบอกใครได้ ก็ไม่ถือว่าเป็ นเหตุผล ให้น ามาอ้าง
ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ อารามเสวียนตูที่อยู่ในการดูแลของ นักพรตซุน อันที่จริงเมื่อเทียบกับนักพรตชิงหยวนผู้เป็ นอาจารย์ของ เขาแล้ว รากฐานก าลังทรัพย์กลับมีเยอะกว่ามากนัก
ปลูกต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้ าหนึ่งต้นสามารถทาให้คนรุ่นหลังได้ อาศัยร่มเงาเย็นสบาย หรือไม่ก็เจาะบ่อน้าบ่อหนึ่งขึ้นมา สร ้างศาลา ให้คนที่เดินทางได้มาพักเท้า
ไม่ว่าจะเป็ นอะไร ก็ควรจะทาอะไรบ้าง ทิ้งอะไรไว้บ้าง เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ดื่มเหล้าหน่อยไหม?” ป๋ ายเหย่กล่าว “ข้าดื่มแค่จอกเดียว นักพรตซุนเชิญตามสบาย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ย “แค่จอกเดียวก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่าหยิบกาเหล้าหนึ่งใบและจอกเหล้าออกมาสองใบ ล้วนเป็ น ของเก่าแก่แล้ว
ผู้เฒ่าหยิบกาเหล้าหนึ่งใบและจอกเหล้าออกมาสองใบ ล้วนเป็ น ของเก่าแก่แล้วแม้แต่สุราก็เป็ นเช่นเดียวกัน เขาไม่เคยตัดใจดื่มได้ เลย เก็บรักษาเป็ นอย่างดีมานานหลายปี
ป๋ ายเหย่จับประคองหมวกหัวเสือ ยกเหล้าขึ้นดื่ม ผลคือแค่ดื่มก็ หน้าแดงก่าในทันที
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะชอบใจ นี่ยังใช่ป๋ ายเหย่ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจ ที่สุดในโลกมนุษย์ คนนั้นอยู่อีกไหม?
เจ้าอารามผู้เฒ่าดื่มเหล้าหมดจอกอย่างรวดเร็ว หันหน้าไปมอง นอกห้อง
เด็กหนุ่มออกเดินทางไกล ราวกับว่าได้แบกดวงตะวันร ้อนแรง และกลับมาพร ้อมกับ แสงจันทร ์เต็มบ่า
ราวกับว่าทุกๆ วันนี้ของพวกเด็กหนุ่ม ตวงตาคู่นั้นมักจะมองไป เบื้องหน้าเสมอ คาด ฝันถึงวันพรุ่งนี้ วาดหวังถึงวันมะรืน
ราวกับว่าทุกๆ อดีตที่ผ่านพ้นล้วนสามารถเรียกรวมกันว่าเมื่อ วานได้ทั้งหมด
ฝันคืนกลับไปยามวัยเยาว์ ข้าก็คือเด็กหนุ่มผู้นั้น
ป๋ ายเหย่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ บางทีผู้ที่เป็ นที่ภาคภูมิใจ ที่สุดในโลกมนุษย์แห่ง ใต้หล้าไพศาลในอดีตผู้นี้ ตัวเขาเองอาจจะไม่ รู ้ มิอาจคาดการณ์ได้เลยว่า บทกวีบางบทของตัวเองก็คล้ายกับว่า เขียนขึ้นเพื่อตัวเขาเอง
ยกตัวอย่างเช่นสาหรับใต้หล้าที่เป็ นบ้านเกิดแล้ว ผู้ที่เป็ นที่ ภาคภูมิใจที่สุดที่เคยสร ้าง พื้นที่ประกอบพิธีกรรมไว้บนเกาะเดียวดาย นอกมหาสมุทร คือนักเดินทางท่องมหาสมุทร อาศัยลมจากฟ้ า ประหนึ่งสกุณาที่โบยบินในหมู่เมฆ จากไปแล้วหายลับไร ้ร่องรอย
หรือยกตัวอย่างเช่น ส าหรับใต้หล้ามืดสลัวที่เป็ นต่างบ้านต่าง เมืองแล้ว ก็คือกระบี่ออกจากฝักส่องแสงดุจดอกบัวสารท
ผู้เฒ่ายิ้มตาหยี สีหน้าสุขุมเยือกเย็น
กระดกเหล้าดื่มหมดจอก ถามกระบี่ต่อป๋ ายอวี้จิง