กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! - บทที่ 945.1 อะไรคือแผนร้าย
จิตวิญญาณกลับคืนสู่หอสยบปีศาจของใบถงทวีป เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน ได้พบเจอกับอาจารย์ผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่อีกครั้ง เฉินผิงอันประสานมือคารวะอย่างเงียบขรึม
ครั้งแรกคือตอนที่ถูกอาจารย์พาไปที่ยอดเขาสุ้ยซาน ครั้งที่สองคือใช้สถานะของอิ่นกวานคนสุดท้าย เฉินผิงอันเป็นตัวแทนของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้าร่วมการประชุมที่ริมลำคลอง
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเมืองเล็กบ้านเกิด เฉินผิงอันแค่ได้เจอกับมรรคาจารย์เต๋า ไม่ได้พบเจอกับปรมาจารย์มหาปราชญ์และศาสดาพุทธ
ทางฝั่งของภูเขาสุ้ยซาน เฉินผิงอันเจอกับปรมาจารย์มหาปราชญ์เป็นครั้งแรก ภายหลังอาจารย์ถามว่ารู้สึกอย่างไร อยู่กับอาจารย์เขาไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เฉินผิงอันจึงบอกไปตามตรงว่า หากได้เจอกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อในตลาดโดยบังเอิญ เขาคงต้องสงสัยแล้วว่าตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าเป็นหนุ่มเคย…คลุกคลีอยู่ในยุทธภพมาก่อนหรือไม่
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะอย่างเบิกบานใจอยู่นาน บอกว่าคำวิจารณ์นี้ดี ดีมากเลย
ตอนนั้นเฉินผิงอันมองเห็นสายตาและสีหน้าของอาจารย์ก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว กังวลว่าหากอาจารย์กลับไปที่ศาลบุ๋น หรือบางทีดื่มเหล้ากับจิงเซิงซีผิงจนเมามาย ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเอาไปเล่าต่อให้คนนอกฟังจนหมด จึงขอให้อาจารย์รับปากว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ให้คนนอกฟัง ปากของซิ่วไฉเฒ่าตอบตกลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนี้อย่าว่าแต่จิงเซิงซีผิงแห่งสวนกงเต๋อเลย ต่อให้เป็นเจ้าลัทธิหลักรองสามท่านของศาลบุ๋น และยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าฝู อาจารย์ผู้เฒ่าลี่ ฯลฯ ต่างก็รู้คำวิจารณ์นี้กันทั้งหมด คนนอก? ทุกวันนี้ในศาลบุ๋นไม่มีคนนอกอะไรหรอกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ผู้เฒ่าลี่ที่เคยถูกศาลบุ๋นเกณฑ์ไปช่วยงาน ยังเคยถามซิ่วไฉเฒ่าว่า ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าคนนั้นพูดต่อหน้าปรมาจารย์มหาปราชญ์เลยหรือไม่? ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าไม่กล้าหรอก อาจารย์ผู้เฒ่าลี่จึงรู้สึกเสียดายอย่างมาก บอกว่าถึงอย่างไรก็ขาดแรงไฟไปสักเล็กน้อย อิ่นกวานหนุ่มยังใจกล้าไม่มากพอ ซิ่วไฉเฒ่าร้อนใจทันใด นั่นเรียกว่าใจกล้าหรือ นั่นเรียกว่าซื่อบื้อต่างหาก…วันต่อมาอาจารย์ผู้เฒ่าลี่ก็ค้นพบว่างานด้านอุทกศาสตร์ที่ตัวเองต้องจัดการ เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เคยคลุกคลีอยู่ในยุทธภพมาก่อน? คำกล่าวนี้ดีมากเลย ไม่เหมือนกับ ‘สุนัขไร้บ้าน’ ของใต้หล้ามืดสลัว น่าฟังกว่าเยอะเลย?
เฉินผิงอันหันไปคารวะนักพรตวัยกลางคนที่ถือแส้สะพายกระบี่ซึ่งยืนอยู่ข้างกายปรมาจารย์มหาปราชญ์ “ผู้เยาว์คารวะหลวี่จู่”
“หลวี่เหยียนคารวะอิ่นกวาน”
นักพรตฉุนหยางไม่ได้อาศัยว่าตัวเองอาวุโสกว่า และยิ่งไม่มีทางวางมาดเพราะเฉินผิงอันเรียกตัวเองว่า ‘ผู้เยาว์’ กลับกันยังก้มหัวกราบตามขนบลัทธิเต๋า ใช้คำเรียกขานอย่างเคารพว่าอิ่นกวานมาแสดงมารยาทตอบแทนกลับคืน จากนั้นหลวี่เหยียนถึงได้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องโชควาสนาของพรรคหวงเหลียง เจ้าขุนเขาเฉินจัดการได้มั่นคงดีมาก”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ร้องโอ้โหหนึ่งที “คำเรียกขานนี้ยิ่งใหญ่มากเลยนะ หลวี่จู่ ร้ายกาจจริง”
นักพรตฉุนหยางเพียงยิ้มรับ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “นักพรตฉุนหยาง แค่คำกล่าวที่เรียบง่ายอย่างคำว่า ‘มั่นคง’ เท่านั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในระเบียงของชั้นบน เจ้าไม่ได้พูดแบบนี้นะ หากข้าจำไม่ผิด สหายยังเอ่ยชื่นชมอย่างจริงใจว่า ‘มรรคามิอาจยึดครองเพียงลำพัง สอดคล้องกับมรรคกถาแห่งข้า’ ไม่ใช่หรือ? คำพูดดีๆ ที่ปากกับใจตรงกัน คงไม่ถึงขั้นแค่พูดออกจากปากครั้งเดียวแล้วก็ไม่มีค่าแล้วกระมัง มีหลักการเหตุผลแบบนี้ด้วยหรือ?”
นักพรตฉุนหยางรู้สึกอ่อนใจเป็นทบทวี
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะ
ใต้หล้าไพศาลที่อยู่นอกหอสยบปีศาจ สีท้องฟ้ามืดสลัวลงแล้ว ล่างภูเขามีการไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสานแปะกลอนคู่วันปีใหม่ เสียงประทัดดังไปแล้ว กินอาหารมื้อคืนข้ามปี แล้วก็เริ่มเฝ้าปีกันแล้ว
ทว่าสถานที่แห่งนี้ยังคงมีพระจันทร์ลอยอยู่กลางฟ้า สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอ่ย “ไป จะพาเจ้าไปเดินเล่นในหอสยบปีศาจแห่งนี้ นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว หอพิทักษ์เมืองของไพศาลอีกแปดแห่งที่เหลือ ปีนั้นล้วนเป็นแผนที่ที่หลี่เซิ่งวาดขึ้นด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าในตำหนักทุกแห่งของหอสยบปีศาจล้วนไม่มีปล่อยว่างเอาไว้ หนังสือภาพตัวอักษร ของล้ำค่าหายากชนิดต่างๆ บวกกับสมบัติอาคมบนภูเขาอีกมากมายทั้งเสื้อเกราะและอาวุธ เห็นได้ชัดว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่สะสมมานานเป็นเวลานับหมื่นปี คิดดูแล้วน่าจะใช้วิธีการเก็บหอมรอมริบดั่งนกนางแอ่นคาบดินโคลนมาทำรัง ดั่งมดย้ายบ้าน สุดท้ายเป็นเหตุให้คนนอกที่มาเที่ยวเยือนหอสยบปีศาจเหมือนได้มาเดินเล่นหอเก็บสมบัติและร้านผ้าห่อบุญแห่งแล้วแห่งเล่า
ปรมาจารย์มหาปราชญ์มาหยุดเท้าอยู่นอกธรณีประตูของตำหนักแห่งหนึ่ง หันหน้าไปมองกรอบป้ายและบทกลอนล้อมเสาของตำหนักใหญ่ ด้านในวางเก้าอี้ไว้สองแถว ทว่าเก้าอี้ทุกตัวล้วนเป็น…บัลลังก์มังกร
ชิงถงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
เก้าอี้มังกรที่มาจากราชวงศ์ซึ่งล่มสลายในประวัติศาสตร์ของใบถงทวีปพวกนี้ กับหยกลัญจกรประจำแคว้นที่สืบทอดมาซึ่ง ‘พลัดไปอยู่ในหมู่ชาวบ้าน’ ล้วนเป็นของที่เจ้าอารามผู้เฒ่าเก็บมาแล้วไม่ต้องการ สุดท้ายถูกตนรวบรวมมาไว้ที่นี่ เวลาปกติรู้สึกว่าองอาจทรงพลังอย่างยิ่ง ผลคือถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์และอิ่นกวานหนุ่มมาปักหลักมองดูอยู่เช่นนี้ ชิงถงก็นึกอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปเต็มที
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถาม “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าหอสยบปีศาจแห่งนี้ควรจะทำตามคำแนะนำของจ้าวเหยากวงเทียนซือน้อยแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ทำให้มันกลายมาเป็นคล้ายอาณาเขตของสวนกงเต๋อน้อยแห่งศาลบุ๋น เอามาใช้กักขังเผ่าปีศาจที่รวบรวมมาจากพื้นที่ต่างๆ ในหนึ่งทวีป ใครที่ควรฆ่าก็ฆ่า ควรจับขังก็จับขังหรือไม่ หรือว่าจะทำตามคำแนะนำของหยวนพางเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาเหิงชวี ให้สหายชิงถงใช้หอสยบปีศาจแห่งนี้เป็นภูเขา มาก่อตั้งพรรคบุกเบิกสำนักอยู่ที่นี่ ทั้งสามารถสร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปได้ ทั้งยังสามารถปลอบประโลมจิตใจของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในพื้นที่ของใต้หล้าไพศาล ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างหอสยปีศาจและศาลบรรพจารย์ของสำนักแห่งใหม่นี้ก็จะคล้ายคลึงกับสำนักมังกรน้ำแห่งอุตรกุรุทวีป”
ชิงถงพลันเกิดความรู้สึกที่ดีต่อหยวนพางลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายของหย่าเซิ่งผู้นั้นทันที
เล่าลือกันว่าหยวนพางผู้นี้คือคนที่หย่าเซิ่งไปขุดมุมกำแพงชิงตัวมาจากใต้หล้ามืดสลัว
เฉินผิงอันครุ่นคิด “ขอแค่มีเจ้าสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อสักคนยินดีปลดระวางจากตำแหน่งเจ้าขุนเขามารับหน้าที่เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎอยู่ที่นี่ ก็ได้จะมีครบครันทั้งสองอย่าง”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ ขยับเท้าเดินต่อ เอ่ยสัพยอกว่า “นี่เพิ่งจะไปเยือนภูเขามากี่ลูกเอง ขอให้ข้าได้คิดสักหน่อย ภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง หอเซียนจิ่วเจิน ศาลเทพภูเขาที่อยู่ใกล้กับสันเขาเฟินสุ่ย เมื่อเทียบกับการไปท่องจวนวารีในความฝันก่อนหน้านี้ แค่นี้ก็พอแล้วหรือ? จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ามีหัวเสือหางงูเอาได้นะ หากเป็นเรื่องของการศึกษาวิชาความรู้เขียนตำราสร้างคมวาทะ นี่ถือเป็นข้อต้องห้ามใหญ่หลวงเลยเชียว ดูเหมือนว่าในมือของเจ้ายังเหลือบุญกุศลที่ไม่เล็กอีกก้อนหนึ่ง? คิดจะทำตามคำกล่าวของบ้านเกิดเจ้าที่บอกว่ามีเหลือกินเหลือใช้ทุกปี? เหลือค้างไว้ก่อน?”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน พูดไม่ออก
ราวกับจิตสำนึกพลันบังเกิด อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เริ่มรู้สึกสงสารผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อนบ้างแล้ว
หนึ่งมาจากการเดินทางไกลลุยน้ำท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา แม้ว่าตัวจะอยู่ในความฝัน แต่สำหรับผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายเลย โชคดีที่ยังมีเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ทำให้ไม่ถึงขั้นรู้สึกจิตใจเหนื่อยล้า ร่างกายอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงสักเท่าไร แต่เรื่องของการขอร้องผู้อื่น ต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ต้องหาเส้นทางที่ถูกต้องให้เจอ ซานจวินเทพภูเขาในใต้หล้ามีมากมายดารดาษ แต่คนที่เฉินผิงอันรู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยินดีจะจุดธูปอย่างจริงใจ อันที่จริงกลับมีไม่มาก
แต่ก็เหมือนอย่างพื้นที่มงคลรากบัวบ้านตนกับพื้นที่ลับปริแตกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกของหอเซียนจิ่วเจียนที่ต่างก็สามารถจุดธูปภูเขาสายน้ำทางใจได้หนึ่งดอก อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ถือสาเลยสักนิดหากต้องแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนตามที่ต่างๆ มากกว่าเดิม ถึงขั้นที่ว่าเตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะพาชิงถงออกเดินทางไกลไปด้วยกันต่ออีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นพื้นที่มงคลเหล่าเคิงที่อยู่ในนามของฝูลู่อวี๋เสวียน แล้วยังต้องแวะไปหาหลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป สลายบุญกุศลบนร่างของตัวเองจนหมด ใช้เส้นสายความสัมพันธ์ระหว่างคนบนภูเขาจนสิ้น
ทว่าห้ามหาบรรพตของขุนเขากลาง นอกจากโจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซานแล้ว อีกสี่ท่านที่เหลือต่างก็ไม่พยักหน้าตอบตกลง เป็นเหตุให้ทั้งจิงเสินชี่และพลังใจของเฉินผิงอันต่างก็ดิ่งฮวบลงสู่ก้นเหว
ได้แต่โน้มน้าวตัวเองว่าพละกำลังของคนเราต้องมีช่วงเวลาที่ใช้หมดลง
ไม่อย่างนั้นหากพูดถึงแค่เรื่องของการขอร้องคน เฉินผิงอันก็คิดว่าในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของเหวินเซิ่ง ตัวเองคือคนที่เชี่ยวชาญที่สุด หรือไม่ก็ควรจะพูดว่าคุ้นเคยที่สุด
ส่วนศิษย์พี่ทั้งหลายล้วนดูแคลนที่จะทำ ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย และไม่เห็นต้องทำ
แต่อาจารย์แน่นอนว่าไม่เหมือนกัน ดังนั้นหากจะบอกว่าอาจารย์ลำเอียงเข้าข้างข้าที่เป็นลูกศิษย์ปิดสำนักอยู่บ้าง จะเป็นไรไป?
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พลันเอ่ยว่า “อย่าได้รู้สึกอาฆาตแค้นซานจวิแห่งภูเขากุ้ยซานที่มีฉายาว่าเทียนจินคนนั้นเลย ก่อนหน้านี้เขาได้รับคำสั่งมาจากศาลบุ๋น ถึงได้ปล่อยให้เจ้าต้องกินน้ำแกงประตูปิด มิเช่นนั้นแล้วต่อให้เขาจะไม่สนิทสนมกับสายเหวินเซิ่งของพวกเจ้ามากแค่ไหนก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้าอิ่นกวานหนุ่มแม้แต่น้อยเช่นนี้ นี่จะดูเป็นคนที่ไม่เข้าใจวิถีทางโลกมากเกินไปแล้ว”
หลวี่เหยียนยิ้มกล่าว “สหายเฉิน คิดบัญชีก็ส่วนคิดบัญชี แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนก็คือลูกผู้ชาย เพียงแต่ว่ามิอาจเดินให้เส้นทางหัวใจบนมหามรรคาคับแคบลงได้”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มกล่าว “นักพรตฉุนหยางชอบพูดอะไรครึ่งๆ กลางๆ ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าเจ้าที่อยู่กับเถาถิงแห่งไพศาล อยู่ที่หน้าประตูภูเขาของภูเขากุ้ยซานขุนเขาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่ง เจ้าเฉินผิงอันล้วนเป็นคนที่พูดคุยได้ง่ายเกินไป”
นักพรตวัยกลางคนที่ถือแส้สะพายกระบี่ ตรงเอวห้อยกระบวยน้ำเต้าลูบหนวดยิ้มบางๆ “หรือว่าไม่ใช่ล่ะ?”
อิ่นกวานคนสุดท้ายแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋น คนที่เชื้อเชิญมาคือใคร? คือหลี่เซิ่ง
เสี่ยงอันตรายไปเยือนเปลี่ยวร้าง สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ติดต่อกัน คนที่เป็นผู้นำคือเจ้าเฉินผิงอัน
ล่างภูเขามีมารยาทพิธีการของล่างภูเขา บนภูเขาก็มีกฎระเบียบของบนภูเขา
ในสายตาของหลวี่เหยียน เจ้าเฉินผิงอันมิอาจจองหองเพราะถือว่าตัวเองมีความดีความชอบ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่คนนอกจะไม่เห็น ‘อิ่นกวาน’ อยู่ในสายตา
ใต้หล้านี้มีสถานะที่เป็นมายาเลื่อนลอยอยู่นับไม่ถ้วน ทว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็ยังไม่ถือว่ามีสถานะเป็นเซียนกระบี่ กลับไม่มีสถานะที่เลื่อนลอยนั้น
หลวี่เหยียนหรี่ตาถาม “อิ่นกวาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่แบ่งหนึ่งออกเป็นสอง กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ใต้หล้าห้าสี ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนั้นอยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ที่ข้า”
หลวี่เหยียนเอ่ยเตือน “ผู้ที่ฝึกบำเพ็ญตน ไม่อยากให้สถานะของตัวเองกลายเป็นตัวถ่วง ก็มีทางให้เดินแค่สองเส้นเท่านั้น หนึ่งคือเอาอย่างเจ้าลัทธิลู่ ไม่เห็นของนอกกายอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ล่องเรือกลวงเหยียบย่างไปบนมายา เป็นความว่างเปล่าทั้งสองอย่าง อีกหนึ่งคือขอบเขตในอนาคต จิตแห่งมรรคา ทุกๆ การกระทำ ล้วนสูงกว่าสถานะก่อนหน้านี้”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มกล่าว “เอาล่ะๆ เจ้าเฉินผิงอันย่อมมีเรื่องที่ตัวเองลำบากใจ นักพรตฉุนหยางก็อย่าจับแน่นไม่ยอมวางเลย”
หลวี่เหยียนหมายจะอธิบายสักหน่อย แต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์กลับโบกมือเอ่ยว่า “ความหมายในเรื่องนี้ เจ้าและข้าต่างก็รู้ดี เฉินผิงอันเองก็เข้าใจเจตจำนงเดิมและความหวังดีของเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความแล้ว”
เฉินผิงอันกุมหมัดคลี่ยิ้มให้กับนักพรตฉุนหยาง
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอ่ยเตือน “นักพรตฉุนหยาง เฉินผิงอันกำลังขอร้องเจ้าอยู่นะ”
หลวี่เหยียนพยักหน้ายิ้มรับ “ผินเจ้าจะไม่ถือสาเรื่องที่สหายเถาถิงได้โชควาสนาไปแล้ว”
ไม่อย่างนั้นนักพรตเนิ่นที่อยู่ในเรือนพักของภูเขาโหลวซานพรรคหวงเหลียงได้ยินอะไรไปจากหลี่ไหว หลวี่เหยียนก็จะเอาสิ่งนั้นกลับคืนมา
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ผู้อาวุโสเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วใช่หรือไม่?”
หลวี่เหยียนส่ายหน้า “ปีนั้นเท้าข้างหนึ่งเดินข้ามธรณีประตูไปแล้ว เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาเข้าจริง จิตแห่งมรรคากลับมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยจึงต้องถอยกลับมา”
สำหรับนักพรตฉุนหยางแล้ว การฝึกตนไม่เคยอยู่แค่ที่ขอบเขตเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุให้พอหลวี่เหยียนเก็บเท้ากลับมา ตบะก็ไม่เพียงแต่ไม่ถดถอยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่าขอบเขตสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงด้วย
——