เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 199 ต้องร่วมมือกัน
ตอนที่ 199 ต้องร่วมมือกัน
ซ่งจื่อเซวียนยังเคยคิดถึงปัญหานี้อีกด้วย นอกจากปัจจัยที่หวังเฉียงหาอินฟลูเอนเซอร์เพื่อโปรโมตแล้ว เหตุใดต้าสือไต้ถึงทำให้ข้าวผัดจักรพรรดิโด่งดังได้
อีกทั้งร้านอาหารร่ำรวยไม่ได้มีออร์เดอร์เยอะมานานแล้วและไม่เคยขายได้มากกว่ายี่สิบที่
คำตอบนั้นง่ายมาก นั่นคือมีขนาดที่ไม่เพียงพอ
การโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับร้านอาหารคือขนาด หากมีขนาดใหญ่และมีคุณภาพที่ดีพอ อาหารที่ราคาสูงก็จะมีอัตราการสั่งอาหารสูงตามมาอยู่แล้ว อย่างไรแล้วกลุ่มลูกค้าที่มาอุดหนุนเดิมทีก็คือคนรวย
คนรวยไม่สนใจว่าต้องจ่ายไปเท่าไร สนใจเพียงแค่ว่ารสชาติอาหารที่พวกเขากินจะดีที่สุดหรือไม่
ส่วนคนยากจนนั้นแตกต่างออกไป ไม่ว่ารสชาติจะอร่อยแค่ไหนพวกเขาก็จะไม่กินถ้ามีเงินในกระเป๋าไม่พอ
นึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม เรื่องขนาด…
จากศักยภาพในตอนนี้ของร้านอาหารร่ำรวย แม้ว่าจะขายออร์เดอร์ได้มากมาย แต่เกรงว่ายังจะถูกสงสัยว่าเป็นอาหารริมทางอยู่บ้าง
ส่วนทางหลงตูนั้น…ซ่งจื่อเซวียนไม่มีแผนที่จะเปิดจำหน่ายข้าวผัดจักรพรรดิ เพราะมันจะกลายเป็นบุฟเฟต์บริการตัวเอง จึงง่ายต่อการทำลายชื่อเสียง
และสามารถกล่าวได้ว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดคือต้าสือไต้ ตอนนี้หลินเทียนหนานยอมแพ้กับต้าสือไต้แล้ว หากตัวเขาเองมีศักยภาพในการจัดการ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้มันรุ่งโรจน์ขึ้นอีกครั้งก็ได้
เมื่อคิดเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็แอบขำ การจัดการภัตตาคารอย่างต้าสือไต้ได้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ภายในวันสองวัน เขาควรจัดการเรื่องลูกน้องตัวเองให้ดีก่อน
ไปส่งหวังเฉียงเรียบร้อยแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็กลับไปที่ห้องครัวและทำออร์เดอร์ต่อไป จนถึงเวลาเที่ยงกว่า ข้าวผัดทั้งยี่สิบที่ก็เสิร์ฟออกไปหมดแล้ว
จากนั้นเขาก็ให้เจิ้งอวี่ขับรถพาเขาไปที่บริษัท ส่วนซางเทียนซั่วก็คอยดูแลร้านและแสดงความรู้สึกกับหลัวลี่ลี่ได้ตามอำเภอใจ…
การจำหน่ายข้าวผัดหมดล่วงหน้านั้นเกินความคาดหมายของซ่งจื่อเซวียนจริงๆ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ดี ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนต้องมีเวลาจัดการกับเรื่องที่บริษัท
สำหรับเขาสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการคัดแยกคนที่รับผิดชอบโครงการเหล่านี้ออก เมื่อจัดการคนที่ต้องการแยกบริษัทออกเรียบร้อยแล้ว บริษัทถึงจะไปต่อได้
ภายในห้องทำงาน ซ่งจื่อเซวียนนำข้อมูลเกี่ยวกับตลาดอาหารทะเลในเขตเฉิงเป่ยขึ้นมาแล้วกล่าว “อาเจิ้ง นี่คือรายงานทั้งหมดของซ่งอวิ๋นหล่างหรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ คุณซ่ง นายท่านรองรับผิดชอบเฉพาะตลาดในเขตเฉิงเป่ยเท่านั้น แม้ว่าเขาจะถือหุ้นบางส่วนในตลาดอื่น แต่สิทธิ์ในการจัดการก็ไม่ได้อยู่ในมือของเขาครับ” เจิ้งอวี่ตอบ
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม เขาโยนรายงานลงบนโต๊ะ “นี่คือรายงานของเดือนเมษายนปีที่แล้ว กำไรน้อยกว่าเดือนมีนาคมและพฤษภาคมที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันแปดแสน”
เจิ้งอวี่มองดูรายงาน “เอ่อ…ตอนนั้นคุณซ่งเคยอ่านแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้งครับ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวแล้วยิ้ม “เขาไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นน้องชายแท้ๆ เขาเลยขี้เกียจสนใจ”
“คุณซ่ง คุณหมายความว่ายังไงครับ คุณคิดว่ารายงานของนายท่านรองผิดปกติเหรอครับ”
“เหอะๆ มีภัตตาคารชื่อจวนรสชาติที่แท้จริงอยู่แถบชานเมืองตะวันออก ภัตตาคารมีสามชั้นและลงทุนไปไม่น้อย
ผมเคยตรวจสอบใบอนุญาตประกอบธุรกิจของจวนรสชาติที่แท้จริงบนอินเทอร์เน็ต ใบอนุญาตนั้นออกเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วและเจ้าของคือหลี่ลี่สยา!”
ได้ยินประโยคนี้ เจิ้งอวี่ก็ตะลึง “หลี่ลี่สยา?”
เขารู้ว่าหลี่ลี่สยาเป็นผู้จัดการตลาดในเขตเฉิงเป่ย ส่วนเหตุผลที่เธอมาเป็นผู้จัดการตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะความสัมพันธ์ของเธอกับซ่งอวิ๋นหล่าง
เธอคือคู่ขาของซ่งอวิ๋นหล่าง!
ซ่งจื่อเซวียนอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่หลี่ลี่สยามาเป็นตัวแทนการประชุมของตลาดเฉิงเป่ยในครั้งที่แล้ว เขาจึงรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับซ่งอวิ๋นหล่างด้วย
“ดังนั้น…ภัตตาคารแห่งนี้ควรเป็นทรัพย์สินของบริษัทชิงอวี่”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดจบ เจิ้งอวี่ก็พยักหน้า “ถ้าตรวจสอบแล้วเป็นความจริง คงต้องเป็นอย่างนั้นครับ”
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน อาเจิ้ง เรื่องที่ผมให้คุณตรวจสอบเป็นยังไงบ้าง”
เจิ้งอวี่พยักหน้า “เจออะไรบางอย่างแล้วครับ แต่ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้ว่าพวกเขายักยอกเงินบริษัท”
“ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องพวกนี้ ผมต้องการข้อมูลพวกเขา ข้อมูลน่ะเข้าใจไหมครับอาเจิ้ง”
“หา? ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาเหรอ บริษัทก็มีนะ อ๋อใช่ ครั้งนี้เรายังพบว่าช่วงนี้นายท่านฉินลิ่วชอบไปโรงน้ำชาจิ่วเต้า เขาอยู่ที่นั่นอย่างน้อยครั้งละสี่ถึงห้าชั่วโมงก่อนจะออกไปครับ”
“หืม? ตาแก่ชอบดื่มชาเหรอ น่าสนใจแฮะ แล้วมีอะไรอีก” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“นายท่านฉินลิ่วไปที่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์และคลับเฮาส์หลงตูสัปดาห์ละสองครั้ง ถ้าเขาไม่ไป จั่วอู่กับเจ้าเฮยจื่อจะไปหาเขาที่โรงน้ำชาครับ” เจิ้งอวี่เอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เรื่องนี้ผมพอรู้มาบ้าง แล้วเฮ่อเหว่ยล่ะ”
“เฮ่อเหว่ย…คุณซ่ง เฮ่อเหว่ยเป็นคนรอบคอบ ไม่มีการเคลื่อนไหวที่แปลกเลย เพียงแต่ว่าลูกชายของเขาค่อนข้างโอ้อวด และช่วงหลายปีมานี้ก็ถือได้ว่าเป็นเพลย์บอยในเมืองตู้เหมิน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เรื่องนี้…ผมรู้แล้ว อาเจิ้ง คุณลืมเรื่องที่เกิดในตลาดครั้งก่อนแล้วเหรอ”
เจิ้งอวี่จึงหัวเราะออกมา “จริงด้วย ไม่รู้ว่าจะมีวีรบุรุษกี่คนที่พ่ายแพ้ต่อเงื้อมมือของภรรยา การสั่งสอนจากครอบครัวสำคัญมากจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและมองนาฬิกาของตัวเองทันที เป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี
“อาเจิ้ง แจ้งให้ทุกคนทราบว่าให้มาประชุมที่บริษัทก่อนสี่โมงเย็น จะลาไม่ได้!”
“หืม? ตอนนี้เหรอครับ”
“ใช่ เดี๋ยวนี้ ระยะทางไม่เท่าไรหรอก ให้เวลาพวกเขาหนึ่งชั่วโมงก็เยอะแยะแล้ว คุณไปแจ้งพวกเขาเถอะ”
“ครับ”
เจิ้งอวี่เดินออกจากห้องทำงานซ่งจื่อเซวียนทันที แต่เขาไม่เข้าใจนิสัยนายน้อยที่พูดว่าจะทำก็ทำเลยจริงๆ
แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะดูเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว แต่ก็จะกระตุ้นความคิดเห็นของทุกคนไม่มากก็น้อย ไม่รู้ว่าเป็นพรหรือคำสาปกันแน่
แต่เรื่องหนึ่งที่ยืนยันได้แน่นอนนั่นคือจิตใจของเจิ้งอวี่ สิ่งที่เขาต้องทำคือปฏิบัติตามคำสั่งของซ่งจื่อเซวียนโดยไม่มีข้อแม้
…………………………
ณ ห้องศาลาโบตั๋น หอหงเยวี่ย
หลังจากใช้ห้องส่วนตัวเป็นศาลาโบตั๋นเมื่อครั้งที่แล้ว หวงฟาก็รู้สึกว่าไม่ได้แย่อย่างที่คิด บางครั้งไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมเอิกเกริกขนาดนั้น
ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเลือกห้องส่วนตัวนี้อีกครั้ง
“เหวินคุ่ย นายจิบชาก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะให้ม่านหงเสิร์ฟเหล้าและกับแกล้ม นายจะได้หายตกใจ” หวงฟาพูดพร้อมลูบซิการ์ในมือ
ในเวลานี้เถียนเหวินคุ่ยไม่มีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อนและดูโทรมเล็กน้อย หลังจากไปอยู่ในสถานที่คุมตัวสองวัน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยโคนหนวดเครา
เขาพยักหน้าและสูบบุหรี่เข้าไปลึกๆ
“เหวินคุ่ย เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ เกิดเรื่องกับเฉิงเทียนเย่าได้ยังไง แล้วทำไมนายถึงโดนจับ เฉิงเทียนเย่าหักหลังนายเหรอ”
เถียนเหวินคุ่ยส่ายหัวช้าๆ “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจครับ แต่ข้าราชการพวกนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ปกติจะแข็งแกร่งกันมาก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ คงหัวล้านกันหมดแล้วครับ”
“ให้ตายเถอะพึ่งไม่ได้เลย นายไม่ต้องกังวล ฉันส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่คราวนี้เราโดนเล่นงานแล้วจริงๆ ร้านอาหารร่ำรวยก็เปิดแล้ว” หวงฟาพูด
ได้ยินดังนั้น เถียนเหวินคุ่ยก็เงยหน้าขึ้น “ว่าไงนะครับ เปิดแล้วเหรอ”
หวงฟาพยักหน้า “อืม เปิดมาได้สองวันแล้ว ฉันส่งคนไปสอบถามเรื่องนี้ กิจการกลับมาดังระเบิด”
เถียนเหวินคุ่ยสูบบุหรี่ลึกๆ แล้วกล่าว “อำนาจของซ่งจื่อเซวียนคนนี้มีไม่น้อยเลยจริงๆ เสี่ยครับ ผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”
“นายจะบอกว่า…เรื่องนี้เกี่ยวกับซ่งจื่อเซวียนเหรอ นายจะรับผิดชอบยังไง” หวงฟาเอ่ยถาม
“ผมประเมินชายหนุ่มคนนี้ต่ำเกินไป คิดดูสิครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลยที่เฉิงเทียนเย่าถูกจับ ยังไงเขาก็ซุกเงินผิดกฎหมายไว้เยอะ แต่ผมกลับถูกจับได้ว่าติดสินบนเป็นคนแรก เสี่ยไม่คิดว่ามันแปลกเหรอครับ”
ได้ยินเถียนเหวินคุ่ยพูดเช่นนี้ หวงฟาก็ใคร่ครวญอยู่นานและพยักหน้าช้าๆ “เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“นอกจากนี้ เสี่ยเฉิงปาได้จัดการเรื่องที่รับปากกับคุณแล้วหรือยังครับ”
หวงฟาได้ยินประโยคนี้ก็เบิกตากว้าง “เป็นไปได้ไหมว่าแม้แต่เฉิงปายังกล้าเล่นแง่กับฉัน”
“เหอะๆ เสี่ยเฉิงปาอาจจะไม่กล้า แต่เขาเป็นแค่เบี้ยในหมากรุกเท่านั้น ผู้เล่นหมากรุกให้เขาเดินยังไงก็ต้องเดินแบบนั้น!” เถียนเหวินคุ่ยพูดด้วยความมั่นใจ
“ผู้เล่นหมากรุก…หึ เป็นซ่งจื่อเซวียนอีกแล้วใช่ไหม”
“เสี่ยครับ เราลองกลับไปมองเรื่องนี้อีกครั้ง แม้ว่าเฉิงเทียนเย่าจะถูกจัดการแล้ว แต่เรื่องที่ร้านอาหารร่ำรวยถูกทีมตรวจสอบอาหารปิดไปนั้นจะแก้ไขรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไง หมายความว่าเรื่องร้านอาหารร่ำรวยถูกเปิดเผยให้เบื้องบนรับรู้แล้ว”
“นายจะบอกว่า…ซ่งจื่อเซวียนรู้จัก…” หวงฟาชี้ขึ้นไปด้านบน “คนเบื้องบนงั้นเหรอ”
“ตามหลักเหตุผลแล้วก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เสี่ยครับ เกรงว่าเราจะแตะต้องเขาไม่ได้แล้ว”
เมื่อเห็นหวงฟาหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความโกรธอย่างชัดเจน เถียนเหวินคุ่ยจึงกล่าว “อย่างน้อยก็ใช้วิธีแบบนี้ไม่ได้ครับ”
หวงฟาเงยหน้าขึ้นและมองเถียนเหวินคุ่ย “วิธีแบบนี้เหรอ”
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า “ถ้าไม่ใช้ไม้แข็ง ก็…หาทางบีบเขาออกไป สถานการณ์ของข้าวผัดจักรพรรดินั้นดีไม่น้อย แต่สิ่งของทุกอย่างย่อมมีคอขวด พวกเขาขายได้แค่วันละยี่สิบที่เท่านั้นเอง”
“แต่เราก็ไม่มีเมนูเด็ด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอาหารที่เราขายก็ไม่มีปัญหา รวมทั้งตอนนี้ ถึงข้าวผัดจักรพรรดิของเขาโด่งดังมากๆ มันก็ไม่ส่งผลกระทบถึงฉัน แต่ถ้าอยากแข่งกับเขา…ฉันไม่ค่อยมั่นใจเลย” หวงฟาพูด
“สิ่งที่เสี่ยพูดก็มีมูล แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เราไม่รู้เลยว่าคนที่ซ่งจื่อเซวียนไปพบคือใคร ถ้าตำแหน่งนั้นสูงส่งจริงๆ ทางที่ดีเราไม่ควรแตะต้องเขา ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำร้ายตัวเอง”
หวงฟาถอนหายใจและพยักหน้า “แม่ง พี่น้องของเราพบเจอกับของหินแห่งตู้เหมินจริงๆ แล้วเหรอ เหอะๆ เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน ว่าไปแล้วถ้าเป็นเขาจริงๆ ก็น่าขำดีนะ”
ได้ยินเสียงหัวเราะที่ขมขื่นของหวงฟา เถียนเหวินคุ่ยก็ถอนหายใจเช่นกัน อย่างไรนี่ก็คือความจริง
ทุกคนต่างรู้ดีว่าคลื่นลูกใหม่แม่น้ำแยงซีย่อมซัดคลื่นลูกเก่า[1] แต่เมื่อคลื่นซัดมาที่ฉันก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันก็มีเสียงเคาะประตูสองสามครั้ง หลี่ม่านหงเดินเข้ามา
“ม่านหงจ๋า เรื่องเหล้ากับกับแกล้มไม่ต้องรีบหรอก เรามาดื่มชากันก่อนดีกว่า” เสี่ยหวงเอ่ย
“ไม่ได้ค่ะ เสี่ย มีคนต้องการพบคุณค่ะ”
หวงฟาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย “พบฉันเหรอ”
ขณะที่พูด เขาและเถียนเหวินคุ่ยก็มองหน้ากัน “ซ่งจื่อเซวียนเหรอ”
“ไม่มีทาง เขาจะมาหาคุณในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เหรอครับ มาโอ้อวด? มาผูกมิตร? ไม่สมเหตุสมผลไปหมดเลย” เถียนเหวินคุ่ยพูด
หลี่ม่านหงเอ่ย “ฉันไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนค่ะ เขาอยู่ในห้องส่วนตัวข้างๆ บอกว่าชื่อโจวเผิงค่ะ”
เมื่อหวงฟาได้ยินชื่อนี้ เขาก็คิดว่าเป็นคนแปลกหน้า “ฉันไม่รู้จักคนคนนี้”
เถียนเหวินคุ่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ฟังดูคุ้นๆ ดูเหมือนเขาจะทำงานด้านธุรกิจอาหาร เมื่อก่อน…คงเคยติดตามเสี่ยเคอซาน…”
“คนของเคอซาน? งั้นลองมาเจอหน่อย ดูสิว่าเคอซานคิดจะทำอะไรอีก!”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ หลี่ม่านหงก็พาคนเข้ามา
ทันทีที่โจวเผิงเข้ามาในห้องก็ประสานหมัดทันที “เสี่ยหวง คุณเถียน!”
หวงฟาขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามั่นใจว่าไม่เคยเจอโจวเผิง แต่อีกฝ่ายมองแวบเดียวก็จำเขาได้…
“นายรู้จักฉันเหรอ”
“เหอะๆ เคยโชคดีเจอเสี่ยหวงครับ วันนี้ผมได้พูดคุยกับคุณครั้งแรก ตอนนี้ยังตื่นเต้นอยู่เลยครับ”
เสี่ยหวงลดเปลือกตาลงแล้วกล่าว “ว่ามา ทำไมเคอซานให้นายมาหาฉัน”
“เสี่ยซาน? นี่มันเกี่ยวอะไรกับเสี่ยซานครับ? เสี่ย ตัวผมมาขอความร่วมมือจากคุณเองครับ”
ได้ยินประโยคนี้ หวงฟาและเถียนเหวินคุ่ยก็มองหน้ากันแล้วอึ้งไปทั้งคู่
…………………………………….
[1] คลื่นลูกใหม่แม่น้ำแยงซีย่อมซัดคลื่นลูกเก่า (长江后浪推前浪) เปรียบเปรยถึงคนรุ่นใหม่ที่ความสามารถมากกว่าและเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่า