เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 198 ปกป้องนายให้ปลอดภัย
ตอนที่ 198 ปกป้องนายให้ปลอดภัย
เหตุผลที่เขาต้องพบกับเจ้าเจี้ยนเป็นเพราะว่าซ่งจื่อเซวียนคาดเดาว่าในเวลานี้นายท่านฉินลิ่วจะมอบหมายงานบางอย่างให้จั่วอู่และเจ้าเจี้ยนแน่นอน และงานเหล่านี้…
ซ่งจื่อเซวียนคาดเดาความเป็นไปได้ทุกทาง แต่เดารายละเอียดไม่ได้
อีกอย่างซ่งจื่อเซวียนจำเป็นต้องรู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านฉินลิ่วนั้นเจ้าเจี้ยนและจั่วอู่จะพูดอะไร เขาเชื่อว่าเจ้าเจี้ยนจะพูดความจริงเมื่อตนใช้อำนาจขู่เข็ญ
เมื่อมาถึงคลับเฮาส์ เจ้าเจี้ยนได้จัดเตรียมห้องส่วนตัวไว้เรียบร้อยแล้ว เข้าไปในห้องส่วนตัว ซ่งจื่อเซวียนก็ให้คนอื่นๆ ออกไปให้หมดเหลือเพียงฟางรุ่ยและเจ้าเจี้ยนเท่านั้น
แม้แต่เจิ้งอวี่ก็รออยู่ข้างนอก เพราะซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าจะให้ใครรู้การสนทนาเกี่ยวกับบริษัทชิงอวี่ในคืนนี้ไม่ได้
“คุณซ่ง ผม…”
“คุกเข่า!” ไม่รอให้เจ้าเจี้ยนอธิบาย ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นตะโกนด้วยความโกรธ
เมื่อเจ้าเจี้ยนได้ยินก็ตกอกตกใจจนขาสั่น สมองยังไม่ทันได้สั่งให้คุกเข่าลง ขาก็อ่อนแรงจนคุกเข่าลงไปเสียแล้ว
“ทำไมต้องให้คุณคุกเข่าน่ะเหรอ”
เจ้าเจี้ยนมึนงง ดวงตามองซ่งจื่อเซวียนและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“เพราะคุณไม่เชื่อฟัง เจ้าเจี้ยน คุณควรรายงานเรื่องในคลับกับใคร”
“เอ่อ…คุณซ่งครับ แต่นายท่านฉินลิ่วไม่ได้ตามหาผมเพราะเรื่องในคลับเสียหน่อยนะครับ” เจ้าเจี้ยนกล่าว
“หึ ออกไปในเวลางาน นี่ไม่เกี่ยวกับคลับงั้นเหรอ ทำไมคุณไม่บอกผม!” ซ่งจื่อเซวียนเบิกตากว้างพร้อมกับตะเบ็งเสียง
เจ้าเจี้ยนก้มศีรษะลงเมื่อได้ยิน หากทำให้ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ได้ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนก็จงใจทำอย่างนี้เช่นกัน พอเข้ามาในห้องเขาก็ใช้แรงกดดันทันทีเพื่อให้เจ้าเจี้ยนสับสน เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดต่อมาของเขาจะได้มีน้ำหนักสมจริงยิ่งขึ้น
ฟางรุุ่ยก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาสามารถกดดันเจ้าเจี้ยนได้ตามอำเภอใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“บอกมาสิ เมื่อวานพวกคุณคุยอะไรกัน” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยขึ้น เอนตัวพิงโซฟาแล้วหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาดื่ม
เจ้าเจี้ยนกัดริมฝีปากเบาๆ ราวกับว่าไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ขณะเดียวกันเขาก็หัวชนฝาเช่นกัน สุดท้ายแล้วฝั่งหนึ่งเป็นซ่งจื่อเซวียน อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นนายท่านฉินลิ่ว ไม่ว่าทางไหนก็ย่ำแย่พอกัน
เห็นเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะเสียงเบา “ไม่บอกงั้นเหรอ ได้ งั้นผมจะไปถามจั่วอู่ ถึงยังไงเมื่อวานซืนเราก็คุยกันที่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์อยู่นาน”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและแสร้งทำท่าทางเป็นกดเบอร์
“เอ่อ…”
ได้ยินคำพูดนี้ เจ้าเจี้ยนก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เขารู้เพียงว่าซ่งจื่อเซวียนมาที่คลับเพื่ออวดเบ่งอำนาจ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปที่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ด้วย
จากนิสัยของเถ้าแก่คนใหม่นี้ คงไม่ทุบตีจั่วอู่ไปแล้วหรอกนะ
แม่งเอ๊ย จั่วอู่ฉลาดมาก เขาไม่แสดงความตื่นตระหนกต่อหน้านายท่านลิ่ว ที่แท้ก็อยู่ข้างคุณซ่งแล้ว งั้นนายให้ฉันมารับบทเป็นคนเลวที่นี่เหรอ
“คุณซ่ง ผมจะบอกครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก่อนเอ่ย “พูดมาให้ละเอียด ถ้าไม่เหมือนกับที่จั่วอู่พูด…คุณคงรู้ผลที่จะตามมา”
เจ้าเจี้ยนพยักหน้า “นายท่านลิ่วบอกว่าตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องปกป้องตัวเอง เราต้องสามัคคีกัน ยิ่งเราแยกตัวออกมาเร็วเท่าไรก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น”
“แยกตัว? เขาต้องการจะแยกบริษัทเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามด้วยความประหลาดใจ
อันที่จริงเขารู้เรื่องนี้แล้ว ซ่งอวิ๋นฮั่นก็บอกเขาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะเร็วขนาดนี้
อย่างน้อยซ่งอวิ๋นฮั่นก็ปรากฏตัวที่บริษัทแล้ว นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังจะกล้าลงมือจริงๆ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี้ชักจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ใช่ครับ นายท่านลิ่วยังบอกด้วยว่าเฮ่อเหว่ยเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเราแล้ว ขอเพียงนายท่านรองจัดการให้เรียบร้อยก็โอเคแล้ว ให้เราวางตัวให้ดีแล้วก็รอรับเงินได้เลย”
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปนาน ในใจคิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน
แต่เมื่อใคร่ครวญอีกครั้ง เฮ่อเหว่ยเป็นคนฉลาด เขาจะใช้นายท่านฉินลิ่วเป็นหอกได้หรือเปล่า ให้นายท่านฉินลิ่วเป็นแกนนำในการบอกว่าจะแยกตัว ส่วนเขาก็จะนั่งรอเฉยๆ รอผลประโยชน์หลังจากแยกตัวออกมาแล้ว?
คิดถึงตรงนี้ เขาก็พยักหน้าอย่างเนิบนาบ
เห็นซ่งจื่อเซวียนเงียบไป เจ้าเจี้ยนจึงพูดว่า “คุณซ่งอย่าเงียบสิครับ ผมบอกไปหมดแล้ว เขายังบอกอีกว่าคุณซ่ง คุณ…”
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่เจ้าเจี้ยนและยิ้มเยาะในใจ ‘คนไม่เอาถ่านคนนี้ยังไม่ลืมจะพูดถึงฉันเหรอ ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนสำคัญด้วยแฮะ’
“บอกว่าไม่ต้องไปสนใจเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างคุณ ขอแค่นายท่านรองจัดการเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งมากที่สุดครับ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าผมจะไม่ใช่คนสำคัญจริงๆ สินะ โอเค แล้วมีอะไรอีก จั่วอู่ล่ะว่ายังไง”
“จั่วอู่เป็นคนมีคุณธรรมเสมอ ปกติเขามักจะเก็บงำคำพูดไว้ไม่พูดออกมา ตอนที่นายท่านลิ่วพูดอยู่เขาก็แค่ยิ้มแล้วพยักหน้าครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นี่สิถึงจะเป็นจั่วอู่ เขากำลังรออยู่ เขาจะเลือกข้างหลังจบเรื่องนี้ แต่…ผมต้องบอกเขาว่าการเลือกข้างไม่รอใคร”
“คุณซ่ง ผมยอมรับว่าได้ออกตัวไปแล้ว ผมบอกว่าจะตามไปทำงานกับนายท่านลิ่ว แต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นนะครับ ผมไม่สามารถแข็งข้อกับเขาได้” เจ้าเจี้ยนกล่าว
“เหอะๆ คุณพูดถูก นายท่านลิ่วถามคุณเรื่องคลับเฮาส์หรือเปล่า”
“ไม่ได้ถามเลยครับ ผมเดาว่าในช่วงเวลาสำคัญนี้เขาขี้เกียจจะถามคำถามพวกนี้แล้ว คุณซ่งให้พวกเราบอกนายท่านลิ่วเกี่ยวกับเนื้อหาการประชุมในวันนั้นแล้ว เขาก็รู้ด้วยว่าตอนนี้คุณดูแลคลับเฮาส์อยู่”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าแล้วเอ่ย “งั้นก็ดี เฮยจื่อ มะรืนนี้ผมจะไปบริษัท ให้ทุกคนมาเข้าประชุม คุณอย่าลืมมาล่ะ”
“ได้ครับ คุณซ่ง คุณพูดอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น ผมจะฟังคุณครับ!”
เจ้าเฮยจื่อไม่กล้าคัดค้าน อย่างไรฟางรุ่ยก็ยังนั่งอยู่ข้างๆ ไอ้หมอนี่กำลังกินผลไม้อยู่ ดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่เมื่อลงมือขึ้นมาก็เหมือนกับผี!
จากนั้น หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับการบริหารคลับเฮาส์กับเจ้าเจี้ยนเรียบร้อยแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็จากไป
ในตึกจวี้เฟิง หวงฟานั่งหรี่ตาอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างครุ่นคิด
ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ เขา แต่เธอไม่กล้าเอ่ยปากรบกวน ทำได้เพียงมองเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโดยพลันและกดหมายเลข แต่ไม่มีใครรับสายหลังจากรอมานาน
“ผิดปกติ โทรศัพท์เหวินคุ่ยเป็นอะไร ร้านอาหารร่ำรวยก็เปิดกะทันหัน นี่มัน…”
ขณะที่กำลังครุ่นคิด โทรศัพท์หวงฟาก็ดังขึ้น
เขารับโทรศัพท์ พูดไม่กี่คำแล้วตบมือลงบนโต๊ะ…
“ซ่งจื่อเซวียน!”
“เสี่ย อย่าเพิ่งใจร้อนเลยค่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”
หวงฟาส่ายหัว “ฉันไม่รู้ มีคนโทรมาบอกว่าเหวินคุ่ยถูกจับแล้วและมีส่วนเกี่ยวข้องกับรองประธานเฉิง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
“หา? เกิดเรื่องกับคุณเถียนเหรอ งั้นตอนนี้จะทำยังไงดีคะ”
“จ่ายเงินประกันตัวเหวินคุ่ยก่อน การติดสินบนไม่ใช่คดีใหญ่อะไร แต่รองประธานเฉิงต้องซวยแล้วแน่ๆ ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวกับซ่งจื่อเซวียนหรือเปล่า”
“เขา? เด็กวัยรุ่นอย่างเขามีอำนาจขนาดนี้เลยเหรอคะ เสี่ยคงคิดมากเกินไปมั้งคะ” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว
“ฉันก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน แต่เด็กคนนั้นร้ายกาจมาก ทำแบบนี้แล้วไม่ตาย อีกอย่างร้านอาหารร่ำรวยก็ได้เปิดอีกครั้งแล้ว ถึงเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงแต่ก็ต้องเป็นคนที่เขาไปพบมา”
“แต่เสี่ยปาก็เป็นพวกเราแล้ว เขาจะพึ่งใครได้อีกคะ”
หวงฟาพูดอย่างเย็นชา “เฉิงปา? ก็แค่คนโง่เขลาที่ร่างใหญ่ ไม่ว่าในสายตาของฉันหรือซ่งจื่อเซวียน เขาเป็นได้แค่เบี้ยในหมากรุกเท่านั้น”
เมื่อพูดจบหวงฟาก็หยิบบุหรี่ขึ้นมา หญิงสาวจึงรีบจุดบุหรี่ให้เขาทันที
หลังจากสูบบุหรี่หวงฟาก็เอ่ย “ดูเหมือนฉันจะต้องใคร่ครวญเรื่องนี้ใหม่ แม้ว่าฉันจะฆ่าเขาไม่ได้แต่ก็ถือว่าไม่เลว”
…………
วันถัดมา เมื่อซ่งจื่อเซวียนมาถึงร้านอาหารร่ำรวย เขาเห็นว่ายังมีคนต่อแถวอีกหลายสิบคนจึงรู้สึกสบายใจจริงๆ
“ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของหวังเฉียงจะได้ผลจริงๆ แฮะ ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดนักชิมหน้าใหม่หรือนักชิมข้าวผัดจักรพรรดิเก่าที่ไม่รู้จักร้านอาหารร่ำรวยมาก่อน ตอนนี้พวกเขาก็มาที่นี่ทั้งหมดแล้ว…”
“อาจารย์ ครั้งนี้เราจะได้ย้อนกลับไปเหมือนช่วงนั้นที่ต้าสือไต้แล้วใช่ไหม ฮ่าๆ เราจะได้เลิกงานตอนเที่ยงทุกวันแล้ว” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “คงงั้นแหละ เหอะๆ เข้าไปเตรียมตัวกันก่อนเถอะ”
ประตูร้านอาหารยังไม่เปิดซ่งจื่อเซวียนก็รับสายโทรศัพท์จากลู่ลี่จวิน เขาถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของร้านอาหารก่อนเป็นอันดับแรกและทักทายไม่กี่ประโยค จากนั้นก็บอกว่าอยากกินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
ซ่งจื่อเซวียนรับปากทันทีและอยากไปส่งให้ด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากเวลามีจำกัด ลู่ลี่จวินจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งเองและให้หวังเฉียงมารับอาหารไปตอนเที่ยง
เพื่อให้แน่ใจถึงความสดใหม่ของอาหาร ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่รีบทำแต่ได้เตรียมวัตถุดิบทั้งหมดและรอจนกว่าหวังเฉียงมาถึงค่อยทำ
ตอนเที่ยง ข้าวผัดจักรพรรดิมีออร์เดอร์ยี่สิบที่ทันที ตอนที่เขาเห็นออร์เดอร์ยี่สิบที่ ซ่งจื่อเซวียนก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ร้านอาหารร่ำรวย…ในที่สุดก็กลับขึ้นมาได้แล้ว
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังยุ่งอยู่นั้น หวังเฉียงก็มารับน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ซ่งจื่อเซวียนรีบหยุดงานในมือทันทีและทำให้ลู่ลี่จวินก่อน
อย่างไรอีกฝ่ายคือผู้บริหารยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในสายงานนี้ ถ้าไม่ปรนนิบัติให้ดีคงไม่ได้แน่นอน
จากนั้นเขาก็หยิบกระติกเก็บความร้อนออกมา หวังเฉียงจึงรีบเข้ามารับไปทันที “น้องชาย คราวนี้มันอะไรกัน ท่านอธิบดีลู่ถึงขั้นเสพติดแล้วคงจะเป็นอาหารที่ล้ำค่าแน่ๆ”
“ฮ่าๆ พี่หวังไม่ต้องเดาหรอกครับ รอให้พี่ได้รับรางวัลก่อนแล้วผมจะทำให้พี่เอง”
“ดีจังเลย แต่วันนี้ฉันไม่มีเวลาจริงๆ ท่านอธิบดีลู่ต้องการด่วน ตอนบ่ายก็มีประชุมในเมืองถึงได้ให้ฉันรีบมาเอาของเร็วขนาดนี้”
เมื่อเห็นหวังเฉียงยุ่งมากจนไม่มีเวลากิน ซ่งจื่อเซวียนก็แอบถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ขอเพียงเป็นเรื่องของหัวหน้าก็คืองานที่ใหญ่ที่สุด
“เอาล่ะ ผมติดหนี้อาหารพี่ชายหนึ่งมื้อ ตอนนี้กิจการของร้านกลับมาแล้ว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการโปรโมตผ่านสื่อใหม่ของพี่เลยครับ”
เมื่อหวังเฉียงได้ยินก็หัวเราะ “ไม่มีปัญหา สิ่งสำคัญคือข้าวผัดจักรพรรดิของนายโด่งดังจริงๆ นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพออินฟลูเอนเซอร์เหล่านั้นได้ยินว่าจะได้โปรโมตให้นายก็กระตือรือร้นกันหมดเลย”
“หา? ทำไมเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้เรื่องในอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะผลกระทบของคนดังจากอินเทอร์เน็ตในยุคใหม่
“ฮ่าๆ เพราะข้าวผัดจักรพรรดิกระแสดีมากน่ะสิ ตอนนี้รูปถ่ายส่วนผสมกับหน้าร้านก็แพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตแล้ว ฉันบอกนายให้นะว่าเตรียมตัวให้ดีเลย คาดว่าคนต่างถิ่นก็คงจะมากินด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างชอบใจ “พี่หวัง ผมจำความช่วยเหลือของพี่ในครั้งนี้ไว้แล้วครับ”
เมื่อได้ยิน หวังเฉียงก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า “น้องชาย พูดแบบนี้ดูเหินห่างไปนะ เราเป็นคนกันเอง ท่านอธิบดีลู่ฝากฉันมาบอกอย่างหนึ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักและเข้าใจความหมายที่หวังเฉียงพูดในชั่วพริบตา
“ท่านอธิบดีลู่บอกว่าพอกิจการดีแล้วต้องตีเหล็กตอนที่ยังร้อน ทำให้ดี ทำให้ยิ่งใหญ่จนกลายเป็นฉากธุรกิจอาหารของเมือง เมื่อถึงเวลานั้น…” หวังเฉียงเงียบแล้วกล่าว “ขอแค่นายทำงานอย่างมีหลักการ ท่านอธิบดีลู่จะปกป้องนายให้ปลอดภัย!”
คำพูดนี้ทำให้ภายในใจของซ่งจื่อเซวียนสั่นไหวอย่างมาก!
ประโยค ‘ปกป้องนายให้ปลอดภัย’ เป็นการสนับสนุนที่แข็งแกร่งมากขนาดไหนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับประโยคนี้ น้ำหนักคำพูดของหวงฟากลายเป็นเบาหวิวขึ้นมาทันที
อีกทั้งเพราะคำพูดนี้ จู่ๆ จึงมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของซ่งจื่อเซวียน!
………………………………………………..