เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 147 ออร์เดอร์ทะลัก
ตอนที่ 147 ออร์เดอร์ทะลัก
ในโรงแรม ซ่งจื่อเซวียนขยี้ตา มองแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลอดผ้าม่านเข้ามา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
ต้องพูดเลยว่าโรงแรมแห่งนี้ไม่ได้นอนหลับสบายเหมือนที่บ้าน ไม่ว่าจะเตียงหรือหมอนก็นิ่มเกินไป ซ่งจื่อเซวียนเคยชินกับเตียงแข็งๆ ที่บ้านมากกว่า
เขาหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา แต่เพิ่งหยิบขึ้นมา ก็เห็นว่ามีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามา
เห็นเป็นเบอร์แปลก ซ่งจื่อเซวียนจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ก็ยังกดรับสาย
“ซ่งจื่อเซวียน หวงฟารับปากว่าจะเจอนายแล้วนะ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ใจเต้นดังตุบตับอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกสะลึมสะลือหายไป ตาสว่างขึ้นมาทันตา
ถึงจะบอกว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ได้กลัวใคร แต่หลายวันมานี้หัวข้อที่เขาคุยกับซ่งอวิ๋นฮั่นแทบจะเกี่ยวข้องกับหวงฟาทั้งหมด เขาเองก็เข้าใจเรื่องตำแหน่งของอีกฝ่ายอย่างละเอียดแล้ว ข่าวที่ว่าอีกฝ่ายรับปากจะเจอตนเองมากะทันหันแบบนี้ จึงรู้สึกกังวลอยู่บ้างจริงๆ
“ครับ ผมทราบแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ไม่ได้ต่อบทสนทนามากมาย อย่างไรเขาก็ฟังเสียงของอีกฝ่ายออกว่าเป็นเคอหงเทา
“พรุ่งนี้บ่ายสองโมงครึ่งที่หอหงเยวี่ย”
“ผมจะไปตรงเวลา”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วางสาย ตอนบ่ายสองโมงครึ่งไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา ถึงอย่างไรช่วงเวลานั้นร้านอาหารร่ำรวยคงไม่วุ่นวาย เป็นช่วงหลังมื้อเที่ยงพอดี
ตอนนี้เอง ฟางรุ่ยก็ตื่นแล้วเหมือนกัน เห็นท่าทางของซ่งจื่อเซวียนจึงถามขึ้นว่า “นายท่านรอง ใครโทรมาครับ ทำไมคุณ…”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ “รุ่ยจื่อ เคยได้ยินเรื่องคนที่ชื่อหวงฟาไหม”
“เคยได้ยินครับ เหมือนว่าในเมืองตู้เหมินจะสุดยอดมาก ทำไมเหรอครับนายท่านรอง” ฟางรุ่ยถาม
“พรุ่งนี้ช่วงบ่ายนายไปที่หอหงเยวี่ยกับฉันหน่อยนะ พวกเราจะไปเจอเสี่ยหวงกัน!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ฟางรุ่ยก็ตื่นเต็มตาทันที รีบลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาอย่างแรง
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะไปรู้จักได้ยังไง แต่คนเขามาหาฉันนานแล้ว ก็ควรจะลองเจอกันได้แล้ว คนที่มาก่อกวนก่อนหน้านี้ก็น่าจะเป็นเสี่ยหวงสั่งการ”
ฟางรุ่ยได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “เพราะ…ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอครับ”
“เหอะๆ ไม่มีความเป็นไปได้อื่นแล้ว คนในวงการนี้มุ่งแต่กำไร!” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ เริ่มใส่เสื้อผ้า
ฟางรุ่ยก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่นานนัก ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ออกจากโรงแรม
เห็นรถของซางเทียนซั่วยังจอดอยู่ที่หน้าประตู ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าเขายังไม่ตื่น จึงกินอาหารเช้าง่ายๆ กับฟางรุ่ยแถวหน้าประตู อย่างไรเมื่อคืนแม่พาถังหย่าฉีกลับไปที่บ้าน ไม่รู้ว่าตอนนี้ตื่นกันหรือยัง ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ได้กลับไปกินข้าวที่บ้าน
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ให้ฟางรุ่ยกลับเข้าไปรอซางเทียนซั่วในโรงแรมสักครู่ ส่วนตัวเองไปสูบบุหรี่ข้างนอก
ยังไม่ทันสูบหมดมวน ก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีผู้ชายคนหนึ่งเดินมา ตัวอวบอ้วน ในมือยังถือปาท่องโก๋หนึ่งถุงกับน้ำเต้าหู้สองถุง
ชายคนนั้นก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นพอดี พอเห็นซ่งจื่อเซวียน จึงยิ้มพูด “เอ๊ะ เจ้ารอง เหอะๆ ไม่ค่อยได้เจอกันนะ ช่วงนี้ยุ่งเหรอ”
คนที่พูดก็คือหยางต้าฉุยนั่นเอง เถ้าแก่ร้านอาหารชุนเซียง หรือก็คือคนที่เคยเป็นเถ้าแก่ของซ่งจื่อเซวียน
“เถ้าแก่ พอได้ครับ เรื่อยๆ นี่เถ้าแก่มาซื้ออาหารเช้าเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างสุภาพ
“ใช่ กินหรือยัง เอาปาท่องโก๋สักตัวไหม”
“กินแล้วครับ เหอะๆ นี่เถ้าแก่ซื้อให้เสี่ยวเสวี่ยใช่ไหมเนี่ย”
“ใช่แล้ว เจ้าเด็กเสี่ยวเสวี่ยคนนี้ไม่ได้ตื่นเช้าเท่าแก เอ๊ะ จริงสิ เจ้ารอง ช่วงนี้การแข่งขันยอดเชฟของตู้เหมินเรากำลังร้อนแรงเลยนะ แกไม่ได้ร่วมด้วยเหรอ” หยางต้าฉุยถาม
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “การแข่งขันยอดเชฟเหรอครับ ผม…ไม่รู้เลย มันคืออะไรเหรอครับ”
หยางต้าฉุยยิ้ม “เจ้าเด็กนี่ ไม่ได้ดูโทรทัศน์เลยใช่ไหมเนี่ย เป็นรายการที่สถานีโทรทัศน์ตู้เหมินจัดขึ้น บอกว่าต้องการค้นหาความหมายที่แท้จริงของอาหารจีนและสนับสนุนอาหารประจำชาติ ตอนนี้เผยแพร่ไปทั่วทุกที่เลยนะ แถมรอบชิงชนะเลิศยังต้องไปแข่งที่ปักกิ่งด้วย ดังมากเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็กระอักกระอ่วน ดูโทรทัศน์เหรอ
ตั้งแต่เด็กเวลาเขาเดินผ่านบ้านคนอื่นก็จะได้ยินเสียงการ์ตูนและรายการต่างๆ แต่พอกลับมาที่บ้านตัวเอง กลับเงียบสงบตลอด เหตุผลง่ายมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ในบ้านไม่เคยมีโทรทัศน์มาก่อน
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับ…เถ้าแก่ หลักๆ เลยบ้านผมไม่มีโทรทัศน์ แถมช่วงนี้ผมก็กลับบ้านดึกด้วย” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างกระอักกระอ่วน
“โธ่ แกนี่ล้าหลังจริงๆ แกไปดาวน์โหลดพวกแพลตฟอร์มออนไลน์มาสิ มีโฆษณารายการนี้เยอะมาก แถมยังมีช่องทางให้ลงทะเบียนด้วย เอาล่ะ ฉันจะเลิกพูดกับแกก่อนแล้วกัน เดี๋ยวน้ำเต้าหู้เย็นหมด จริงสิ เจ้ารอง ฝีมือทำอาหารแกไม่มีปัญหา ต้องลองดูนะ!”
พูดจบ หยางต้าฉุยก็เดินเข้าไปในซอย ด้านซ่งจื่อเซวียนยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ขยี้ดับก้นบุหรี่แล้วเดินเข้าไปในโรงแรม
เขาตรงไปที่ห้องพักของซางเทียนซั่ว ยืนอยู่ด้านนอกประตูก็ได้ยินเสียงกรนของเจ้าหมอนั่น
หลังจากเคาะประตูอย่างแรง ในที่สุดเสียงกรนซางเทียนซั่วก็หยุดลง ไม่นานนักเขาก็เปิดประตูออกมาด้วยตาปรือๆ
“อรุณสวัสดิ์อาจารย์”
“รีบตื่นเถอะ จะเก้าโมงแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินเข้าไป “จริงสิ เทียนซั่ว นายดาวน์โหลดพวกแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ฉันหน่อยสิ ฉันเพิ่งได้ยินมาว่าช่วงนี้มีการแข่งขันยอดเชฟน่ะ อยากจะดูสักหน่อย นายเคยได้ยินมาก่อนไหม”
ซางเทียนซั่วส่ายหน้า
“ไอ้หยา โทรศัพท์ฉันเล่นไม่ได้ ไม่รู้ก็ถือว่าช่างมันไป แต่ทำไมนายถึงไม่รู้ล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนบ่นอุบอิบ
“อาจารย์ที่เคารพรัก เราทำงานและพักผ่อนพอๆ กันทุกวัน กลับบ้านก็ค่อนคืนแล้ว ผมจะมีเวลาไหนไปเล่นโทรศัพท์ล่ะ ผมรู้สึกว่าตอนนี้จะกลายเป็นมนุษย์ยุคหินไปกับอาจารย์ด้วยแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนอดอึกอักไม่ได้ “เอาเถอะ ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วค่อยมาดาวน์โหลดให้ฉันหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด จากสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าตนเองเข้าร่วมการแข่งขันนี้จริงๆ อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ถ้ากลายเป็นคนสาธารณะ หวงฟาคงจะพะว้าพะวังเหมือนกัน
อีกทั้งในอีกมุมหนึ่ง ถ้าตนเองเปิดเผยใบหน้าในการแข่งขันยอดเชฟ ก็เป็นผลดีกับร้านอาหารร่ำรวย คิดๆ ดูแล้วจะต้องเพิ่มปริมาณลูกค้าได้มากมายมหาศาลแน่
เพียงแต่ตอนนี้เรื่องที่ลำบากที่สุดก็คือซ่งจื่อเซวียนไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมประเภทนี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่คุ้นเคยกับอินเทอร์เน็ตสุดๆ ทั้งหมดนี้เขาต้องทำความรู้จัก เข้าใจ และคุ้นเคยโดยเร็วที่สุดถึงจะโอเค
อีกอย่าง…หากไม่มีอะไรผิดพลาดเรื่องนี้ก็ต้องปรึกษากับเสี่ยเฉิงปาด้วย อย่างไรถ้าตนเองจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเตะถ่วงการค้าของร้านอาหารร่ำรวย ดังนั้นเสี่ยเฉิงปาต้องยินยอมพร้อมใจ ซ่งจื่อเซวียนถึงจะจากไปได้อย่างสบายใจ
ไม่นานนัก ซางเทียนซั่วก็ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ และดาวน์โหลดพวกแพลตฟอร์มออนไลน์ในโทรศัพท์ให้ซ่งจื่อเซวียน
จากนั้น ซางเทียนซั่วก็ขับรถพาพวกเขาตรงไปที่ร้านอาหารร่ำรวย
ซ่งจื่อเซวียนแทบจะดูโฆษณาการแข่งขันยอดเชฟครั้งนี้และวิธีลงทะเบียนไปตลอดทางไม่หยุด
เขาได้รู้ว่าการแข่งขันยอดเชฟนี้เป็นอย่างที่หยางต้าฉุยพูด เป็นการแข่งขันทำอาหารของสถานีโทรทัศน์ตู้เหมิน อีกทั้งยังเป็นงานใหญ่มากอีกด้วย ไม่เพียงแต่มีดารามากมายช่วยสนับสนุน ยังมีองค์กรที่ชื่อคุ้นเคยไม่น้อยสนับสนุนด้วย
จากจุดนี้จะเล็งเห็นว่า วัฒนธรรมอาหารจีนได้รับการส่งเสริมเป็นอย่างดีในหลายปีมานี้ ถึงได้จัดงานที่ใหญ่ขนาดนี้เพื่อทำอาหารเท่านั้น
ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง รถก็เริ่มลดความเร็วลง ซางเทียนซั่วอดขมวดคิ้วไม่ได้ “อาจารย์ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกัน หน้าร้านเราไม่มีที่จอดรถเลย ผิดปกติเกินไปแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็มองออกไปด้านนอก เป็นอย่างที่คิดไว้ หน้าร้านอาหารร่ำรวยมีรถดีๆ จอดไว้ไม่น้อย ที่จอดรถใกล้ๆ ข้างทางก็เต็มทุกที่ ถ้าตามปกติจะไม่ใช่แบบนี้ รถมาตอนไหนก็มีที่จอดตลอด
“นายท่านรอง คงไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นหรอกใช่ไหม หรือว่าคนพวกนั้นมาก่อความวุ่นวายอีกแล้วเหรอ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ตกใจ ถึงอย่างไรช่วงนี้ร้านอาหารร่ำรวยมักจะมีเรื่องวุ่นวาย เขาก็รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง
แต่คิดๆ แล้ว เขาก็ส่ายหน้า “ไม่หรอก หวงฟาพูดแล้วจะมาเจอฉัน มาก่อกวนตอนนี้พูดได้ว่าไม่มีความหมายอื่น พวกเราลงจากรถไปดูก่อนค่อยว่ากัน”
ทั้งสามคนลงจากรถก็ปรี่เข้าร้านอาหาร แต่เพิ่งจะเดินเข้าไปซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักค้าง เห็นแค่ชั้นหนึ่งของร้านอาหารมีคนนั่งที่โต๊ะแล้วไม่น้อย แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ…บนโต๊ะเหล่านี้ยังว่างอยู่ เหมือนจะยังไม่ได้สั่งอาหาร
ซ่งจื่อเซวียนสาวเท้าไปหาหยางกัง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ตอนนี้หยางกังกำลังวุ่นอยู่กับการชงชา พอเห็นซ่งจื่อเซวียนมาแล้ว ก็พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “นายท่านรอง คนพวกนี้…มากินข้าวผัดจักรพรรดิกันทั้งนั้นเลยครับ ผมบอกว่าพวกเรายังไม่เปิดร้านเลย พวกเขาก็เข้ามารอแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ชะงักไป รีบหันหน้าไปมองลูกค้าพวกนั้น บ้างก็คุ้นหน้าคุ้นตา เหมือนเคยเห็นที่ต้าสือไต้ อีกทั้งพี่ชายพวกนั้นที่มากินข้าวผัดเมื่อสองวันก่อนก็มาเหมือนกัน
“เหอะๆ คงไม่แปลกประหลาดขนาดนั้นมั้ง นี่…บอกว่าทะลักก็ทะลักเลยเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางนึกถึงคำพูดของหัวหน้าเชฟเจิ้งฮุยที่เคยพูดไว้ก่อนหน้าประโยคหนึ่งว่า การจะทำธุรกิจอาหาร ไม่มีใครให้เวลาให้ได้เตรียมตัว เมื่อถึงเวลาของคุณก็จะโด่งดังในชั่วข้ามคืน ถ้าคุณตั้งรับได้ก็จะดังต่อไป แต่หากตั้งรับไม่ไหว…เกรงว่าก็จะพลาดโอกาสไปแล้ว
ช่วงนี้ พวกลูกค้ากำลังบอกปากต่อปาก การโพสต์ในวีแชทของถังหย่าฉี บวกกับการลงแรงของทางเสี่ยเฉิงปา การที่ลูกค้ามาเยอะขนาดนี้ในครั้งนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ
เขาก็คิดเชื่อมโยงไปถึงรถดีๆ พวกนั้นด้านนอก คลั่งไคล้ข้าวผัดจักรพรรดิได้ขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่พอมีฐานะดีในเมืองตู้เหมินทั้งนั้น ย่อมได้ขับรถดีๆ อยู่แล้ว
“อาจารย์ นี่เรื่องจริงเหรอเปล่าเนี่ย เหมือนได้กลับไปที่ต้าสือไต้อีกครั้งเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มดีใจออกมา “ลองนับดูสิว่ากี่คน”
“ทั้งหมดสิบสามคนครับนายท่านรอง เป็นข้าวผัดจักรพรรดิทั้งหมด และสั่งอาหารอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้เปิดทำการก็เลยยังทำอาหารให้พวกเขาไม่ได้” หยางกังพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “บอกครัวด้านหลังว่าให้เปิดทำการก่อน เปิดตอนนี้เลย”
“ฮะ?” หยางกังชะงักไป ถึงอย่างไรตอนนี้ยังห่างจากเวลาเปิดทำการประมาณครึ่งชั่วโมงอยู่เลย
“ไม่ต้องมาฮะเลย เร็วเข้า จริงสิ หยางกัง ติดที่ประตูเพิ่มหน่อย คราวหลังจะเปิดก่อนเวลาทำการไม่ได้ ไม่ถึงเวลาทำการห้ามเข้าร้าน อยากกินก็ต้องต่อแถวรอด้านนอก จากนั้นเขียนด้วยตัวอักษรที่ใหญ่ที่สุดว่าข้าวผัดจักรพรรดิจำกัดแค่ยี่สิบที่!”
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดเยอะขนาดนี้ หยางกังก็มึนงงเล็กน้อยไปครู่หนึ่ง เหมือนจำไม่ค่อยได้
ซางเทียนซั่วเดินมา พูดว่า “เอาล่ะ ผมทำเอง อาจารย์ ไอ้เด็กนี่มันจำไม่ได้หรอก”
“เหอะๆ ยังไงก็ได้ พวกนายดูแลไปนะ เดี๋ยวฉันไปทำอาหาร!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้าไปในครัวด้านหลัง ไม่ถึงห้านาที ในครัวด้านหลังก็มีเสียงเตา เสียงเครื่องดูดควันดังขึ้น
ได้ยินเสียง ก็มีลูกค้าพูดขึ้นว่า “เอ๊ะ พนักงาน เมื่อกี้ไม่ได้บอกเหรอว่าร้านเปิดสิบโมงครึ่งน่ะ”
“ฮ่าๆ ก็เพราะว่าเห็นพวกคุณมากันแล้ว เถ้าแก่เลยบอกให้เปิดเตาก่อนล่วงหน้าไง เดี๋ยวข้าวผัดจักรพรรดิก็มาแล้ว ทุกท่านรอสักครู่นะครับ!” ซางเทียนซั่วยิ้มพูด
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ลูกค้าไม่น้อยก็ตื่นเต้นกันขึ้นมา ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกค้าประจำของข้าวผัดจักรพรรดิกันทั้งนั้น หลังจากที่ต้าสือไต้ไม่ขายแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้กินอีกเลย ครั้งนี้ได้ยินมาว่าเขตเฉิงตงมีข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว ก็รีบขับรถมาชิมทันที
อีกทั้งพวกเขายังรักษานิสัยก่อนหน้า พอเช้าก็มาเลย เพียงแต่สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ร้านอาหารร่ำรวยไม่มีกฎที่ว่ายังไม่ถึงเวลาทำการห้ามเข้า ดังนั้นจึงเข้ามารอด้านในกัน
แต่ไม่นานนัก ซางเทียนซั่วก็เขียนกระดาษแผ่นใหญ่เสร็จแล้วแปะที่ด้านนอก นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป อยากกินข้าวผัดจักรพรรดิ ต้องเข้าแถวรอด้านนอก!
………………………………………………