ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 189 ผนึกกำลัง
ตอนที่ 189 ผนึกกำลัง
เมื่อเห็นสายตาฉงนจากลูเมี่ยน ฟรังก้าจึงอธิบายคร่าวๆ
“หนึ่งในความสามารถหลักของเส้นทาง ‘นางมาร’ เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับกระจกเงาและการควบคุมโลกในกระจก”
“เมื่อสักครู่ ตอนที่สงสัยกันว่าที่นี่อาจเกี่ยวข้องกับเส้นทาง ‘นางมาร’ หรือ ‘นักล่า’ ฉันผุดข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมา… บางทีพวกเราอาจหลงเข้ามาในโลกกระจก จึงลองเข้าไปในกระจกแต่งหน้าดู เผื่อว่าจะออกจากตรงนั้นได้ แต่ผลลัพธ์ก็อย่างที่คุณเห็น มันไม่ได้ผล…”
“เพราะเรื่องนี้ ฉันถึงได้ตัดความเป็นไปของ ‘โลกในกระจก’ และความเชื่อมโยงกับนางมาร… แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าทางออกน่าจะซ่อนอยู่ในกระจกใต้น้ำ…”
“คุณก็เลยสงสัยว่า มิติแห่งนี้คือโลกกระจกแบบพิเศษ ที่มีแค่ทางออกเดียว อยู่บนกระจกบานที่เฉพาะเจาะจง?” ลูเมี่ยนพยายามทำความเข้าใจทฤษฎีของฟรังก้า
“ใช่” ฟรังก้าพยักหน้าเบาๆ “แต่สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจคือ พวกเราไม่เคยเจอกับสิ่งที่คล้ายผิวกระจกเลย ทำไมถึงหลงเข้ามาได้? บางที การคาดเดาของฉันอาจจะผิด หรือถูกแค่บางส่วน…”
ลูเมี่ยนไตร่ตรองสักพักก่อนจะถามซื่อๆ
“โลกในกระจกคืออะไร?”
ฟรังก้ารวบผมหางม้าจากท้ายทอย
“มันยากที่จะอธิบายอยู่เหมือนกัน เพราะตัวฉันเองก็ยังไม่เข้าใจมันดีนัก”
“ขอเล่าตามความเข้าใจก็แล้วกัน… ในศาสตร์เร้นลับ ผิวกระจกจะมีความหมายเชิงสัญลักษณ์อยู่ เช่น ‘ภาพสะท้อนตัวเอง’ หรือ ‘ทางเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง’ อันแรกหมายความว่าเราสามารถใช้กระจกสร้างตัวแทนได้ ส่วนอันหลังก็คือ ‘โลกในกระจก’”
“มันมักเชื่อมโยงกับความน่ากลัว ลึกลับ ตื่นเต้น แปลกประหลาด ส่วนจะซ่อนอะไรไว้หรือไม่ เป็นมิติอื่นจริงไหม ฉันก็ตอบไม่ได้ รู้แค่ว่าโลกในกระจกเชื่อมต่อกันผ่านวัตถุต่างๆ ที่คล้ายผิวกระจก ในบางกรณีก็บ่งชี้ไปยังมิติบางแห่งที่ไม่อาจเข้าถึงตามปกติ… ถ้าลำดับของฉันเพิ่มขึ้นอีกนิด ก็น่าจะใช้โลกในกระจกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ได้รวดเร็วมาก”
ลูเมี่ยนไตร่ตรองตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงเมื่อครู่ แล้วลองใช้จินตนาการ
“เป็นไปได้ไหมว่าคนที่เราเห็น คือภาพสะท้อนของตัวคุณในโลกแห่งกระจก ที่หลงเหลือจากเหตุการณ์บางอย่าง?”
“มีเหตุผลในระดับหนึ่ง แต่ฉันยังไม่เคยเจออะไรแปลกๆ เลยนะ…” ฟรังก้าพูดหลังจากใคร่ครวญ “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราก็ต้องรีบไปที่แอ่งน้ำนั่นแล้ว ทางออกคงอยู่ในนั้นแหละ! เราไม่ควรเสียเวลากับทดลองอย่างระมัดระวังเกินเหตุอีกต่อไป… ก็อย่างที่บอก… โลกในกระจกเต็มไปด้วยเรื่องประหลาดๆ ที่น่าขนลุก… ถ้าแช่อยู่นานกว่านี้ ฉันไม่อยากจินตนาการว่าเราจะเจอกับอะไรบ้าง!”
“ตกลง” ลูเมี่ยนยังคงใจเย็น
ฟรังก้าหมุนตัวแล้วออกวิ่ง ลูเมี่ยนก็วิ่งขนานกันไม่ห่าง
‘แม่มด’ รายนี้วิ่งไปพลางใช้พลังวิเศษบางอย่าง มีน้ำแข็งเล็กๆ ผุดใต้ฝ่าเท้าเธอเป็นระยะ ทำให้แรงเสียดทานลดลงมากโข จนร่ายกายคล้ายกับไร้น้ำหนัก ทั้งตัวไถลผ่านโพรงมืดๆ ของเหมืองหินและอุโมงค์ใต้ดินอย่างด่วนฉิว
ลูเมี่ยนผู้เป็นทั้งนักล่าและนักเต้น ต้องอาศัยความพยายามอย่างหนัก เพื่อไล่ตามฟรังก้าทันแค่หวุดหวิด ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ท่ามกลางความหนาวเย็นดุจดังเหมันต์มาเยือน บนผนังหินรอบด้านค่อยๆ ปรากฏแผ่นน้ำแข็งบางๆ
บนผิวน้ำแข็งเหล่านั้นมีใบหน้าโชกเลือดจำนวนมากผุดขึ้น ทุกหน้าล้วนแสดงอารมณ์บิดเบี้ยว ดวงตาก่ำไปด้วยความเคียดแค้น ราวกับวิญญาณนรกโลกันตร์ที่คลานออกจากห้วงลึกเพื่อตามจองเวร
หนึ่งในนั้นคือฟรังก้าในอดีต สมัยที่ยังเป็นผู้ชาย!
หลังจากวิ่งสักพัก ลูเมี่ยนกับฟรังก้าก็เห็นแอ่งน้ำนั่น
เมื่อแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ส่องไปบนผิวน้ำสีดำสนิท ก็สะท้อนเฉดสีเหลืองปนฟ้าอ่อน
“ตรงนี้หรือ” ฟรังก้าหยุดฝีเท้า
ลูเมี่ยนเพ่งพินิจอยู่สักไม่กี่วินาทีแล้วตอบ
“ใช่”
ในเวลานี้ นอกจากความรู้สึกร้อนผ่าวในโพรงจมูก ทุกส่วนของร่างกายเด็กหนุ่มยังเจ็บแปลบเล็กน้อย ราวกับพร้อมจะหลั่งเลือดในทุกเมื่อ
ฟรังก้าถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินเข้าใกล้แอ่งน้ำด้วยความระวัง
“ตอนนี้ปัญหาคือ จะใช้วิธีไหนหลบเลี่ยงสัตว์ประหลาดที่คุณเห็น เพื่อดำลงไปงมหากระจก…”
“น่าเสียดายที่ฉันยังกระโดดข้ามกระจกไม่ได้… อย่างมากก็เข้าไปได้ชั่วคราว…”
ลูเมี่ยนพูดโดยไม่มีการปรุงแต่ง
“ผมคิดว่าคุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน…”
“แค่ผมเห็นมันชัดๆ แวบเดียว ร่างกายก็แทบจะระเบิดตัวเองแล้ว”
“…” ฟรังก้าแม้จะขุ่นเคืองและท้อแท้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูเมี่ยนพูดถูก
ด้วยโอสถของเธอ ร่วมกับสมบัติวิเศษที่ครอบครอง หากคู่ต่อสู้อยู่สูงกว่าหนึ่งลำดับ เธอยังพอต่อกรไหว หรืออาจมีโอกาสชนะด้วยซ้ำ
แต่คำนึงจากหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ถึงสัตว์ประหลาดนั่น อย่างน้อยมันก็ต้องอยู่สูงกว่าเธอเกินหนึ่งลำดับ!
ไม่กี่วินาทีให้หลังฟรังก้ากัดฟันพูด
“ถึงฉันจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่ก็หนีเก่งเอาตัวรอดเก่ง คงยื้อกับมันได้สักสิบกว่าวินาที ระหว่างนั้นคุณก็ลงไปงมกระจกขึ้นมา แล้วพวกเราก็หนีออกไปด้วยกัน!”
ลูเมี่ยนหัวเราะหนึ่งคำ
“ไม่ต้องถึงกับเอาชีวิตเข้าแลกหรอก…”
“ผมมีวิธีถ่วงเวลาสัตว์ประหลาดนั่นได้สิบถึงยี่สิบวินาทีโดยไม่ต้องเสี่ยงมาก เพียงพอให้คุณงมเจอกระจกไหม?”
“ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก ทางนี้รับรู้ถึงกระจกได้ดี” ฟรังก้ามองลูเมี่ยนอย่างกังขา “แต่คุณทำได้จริงหรือ… ไม่เสี่ยงอะไรแน่นะ?”
“ในทางทฤษฎี มันควรจะไม่” ลูเมี่ยนยังคงเยือกเย็น
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มเสริมในใจ
ถ้าเห็นว่าเสี่ยงเกินไป ฉันก็แค่เปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น… มิสเตอร์ K เอย มาดามเฮล่าเอย มาดามเมจิกเชี่ยนเอย องค์ผู้ยิ่งใหญ่เอย องค์ซ่อนเร้นแห่งชะตากรรมเอย ทางเลือกสำรองมีตั้งเยอะแยะ…
ฟรังก้าไม่มัวมากความ เพียงเม้มปากพูด
“ตกลง ฉันจะทำกระจกตัวแทนให้คุณอีกชุด กันเหนียวไว้ก่อน”
สำหรับตัวช่วยที่ไม่มีผลเสีย แถมยังลดความเสี่ยงได้ดี ลูเมี่ยนย่อมไม่บอกปัด
หลังจากฟรังก้าหยิบกระจกที่เล็กกว่าฝ่ามือออกมาอีกบาน เชื่อมโยงให้เป็นตัวแทนเสร็จสรรพ ลูเมี่ยนถือกริชเงินพิธีกรรมเดินวนรอบแอ่งน้ำที่คล้ายบึง สร้างกำแพงวิญญาณขึ้น
ตลอดกระบวนการ เด็กหนุ่มยังรักษาระยะห่างจากขอบบึงสี่ห้าเมตรเสมอ ด้วยเกรงว่าจะถูกสัตว์ประหลาดนั่นกระชากลงไป
เก็บกริชเงินพิธีกรรมกลับ ลูเมี่ยนหันไปหาฟรังก้า ยิ้มแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ถัดจากนี้ไปจะเกี่ยวข้องกับความลับของผมนิดหน่อย คุณช่วยหันหลังแล้วอย่ามองได้ไหม”
“ตกลง” ฟรังก้าพึงพอใจความเถรตรงเช่นนี้
ตามด้วยการถอนใจเงียบๆ
“ทำไมจินนาถึงได้เข้าใจชาร์ลผิดไปไกลนักนะ?”
เมื่อเห็นฟรังก้าหันหลังให้ ลูเมี่ยนวางโคมไฟคาร์ไบด์ลง แล้วเริ่ม ‘ระบำเรียกสถิต’
เขาคิดจะเรียกสัตว์ประหลาดนั่นมา แต่ไม่อนุญาตให้มันสิงร่าง!
ลูเมี่ยนเชื่อว่า ยิ่งลำดับชั้นของสิ่งชีวิตแปลกๆ สูงเท่าไร ก็จะยิ่งสัมผัสถึง ‘มลพิษ’ ในตัวเขาได้ชัดเจนมากเท่านั้น และยิ่งกริ่งเกรงไม่อยากเข้าสิง
นั่นหมายความว่า ตราบใดที่เขาไม่อ้าปาก ‘สั่ง’ อีกฝ่าย สัตว์ประหลาดนั่นก็คงทำเพียง ‘จับตาดู’ ระบำเรียกสถิตด้วยความกระฟัดกระเฟียด แต่ก็ถูกผนึกกับมลพิษข่มขู่จนไม่กล้าลงมือ ไว้ค่อยรอจัดการหลังจากที่ระบำเรียกสถิตจบลง
ระบำเรียกสถิตหนึ่งรอบใช้เวลาเต้นนานยี่สิบถึงสามสิบวินาที เพียงพอให้ฟรังก้าดำลงไปงมหากระจกในน้ำ
ขอเพียงลูเมี่ยนหนีออกจากมิติแห่งนี้ได้ก่อนที่สัตว์ประหลาดจะลงมือ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดตามมา!
แน่นอน หากที่นี่ไม่สามารถกระตุ้นพลังธรรมชาติ จนระบำเรียกสถิตไร้ผล เขาก็แค่เปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น
ท่ามกลางระบำอันบิดเบี้ยวบ้าคลั่ง พลังวิญญาณของลูเมี่ยนได้ผสานเข้ากับพลังธรรมชาติบางส่วน แล้วเริ่มแผ่ขยายไปรอบด้าน แต่ไม่เกินรัศมีของกำแพงวิญญาณ
ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ผิวน้ำของบึงก็เกิดระลอกคลื่นซ้อนกันหลายชั้น และร่างซีดขาวก็ลอยขึ้นมา
มันดูคล้ายมนุษย์แต่ทั้งตัวบวมฉึ่งใบหน้าใหญ่ราวๆ ครึ่งหนึ่งของร่างกาย
สัตว์ประหลาดตัวนี้ลอยเข้าหาลูเมี่ยน หยุดลงในตำแหน่งใกล้กับเด็กหนุ่มมาก
ลูเมี่ยนไม่กล้าแม้แต่จะมองรูปลักษณ์หรือสภาพของมัน เพียงหรี่ตาลงครึ่ง ร้องตะโกนอย่างเร่งเร้า
“เร็ว!”
ฟรังก้าไม่มัวรีรอ วางโคมไฟคาร์ไบด์ลง วิ่งสองก้าวแล้วกระโดดลงน้ำไป
เสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น คลื่นน้ำหลายระลอกกระจายออก
ความรู้สึกเย็นชุ่มแทรกซึมไปตามผิวของฟรังก้า ความมืดที่แทบไร้แสงสะท้อนอยู่ในดวงตาเธอ
อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟคาร์ไบด์ที่สาดมาทางผิวน้ำ ฟรังก้าดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งอย่างแคล่วคล่อง
ทันใดนั้น วัตถุสีเข้มคล้ายเส้นผมหรือสาหร่าย พุ่งเข้าใส่เธอจากรอบด้านราวกับมีชีวิต พยายามรัดรึงฟรังก้าไว้
ฟรังก้าไม่มัวสนใจ ยังคงตั้งใจดำให้ลึก
เพียง ‘สาหร่าย’ พวกนั้นสัมผัสร่างกายเธอ ก็ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีดำทันที
ไฟสีดำเผาไหม้อย่างเงียบงันใต้น้ำ ไม่มีทีท่าว่าจะดับมอด ส่วน ‘สาหร่าย’ ก็มิได้กลายเป็นเถ้าถ่าน เพียงดูเหมือนไม่มีชีวิตแล้ว
พวกมันแค่ลอยอยู่ในน้ำ แกว่งไปไกวมาตามจังหวะคลื่น
ไกลออกไป ‘สาหร่าย’ จำนวนมากยังคงกรูเข้าใส่อย่างไม่ขาดสาย แต่ก็ถูกกำแพงน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งขวางไว้
ข้างบึงน้ำ ลูเมี่ยนที่กำลังเต้นระบำเรียกสถิต แม้จะไม่ได้มองสัตว์ประหลาดนั่นโดยตรง แต่ก็ได้ยินเสียงคล้ายฟองสบู่แตกเบาๆ จมูกได้กลิ่นเหม็นคาว ความหนาวเย็นโอบล้อมรอบกาย
สิ่งนี้ทำให้ในหัวลูเมี่ยนจินตนาการภาพหนึ่งโดยธรรมชาติ
สัตว์ประหลาดตัวพองที่มีใบหน้าใหญ่ๆ กำลังยืนห่างจากเขาแค่ก้าวเดียว แทบจะแนบชิดแผ่นหลังอยู่แล้ว จนถึงกับได้ยินเสียง ‘หายใจ’ !
ซี้ด… ลูเมี่ยนสูดลมหายใจผ่านร่องฟัน ไม่กล้าปล่อยให้ระบำเรียกสถิตชะงักงันไปแม้แต่วินาทีเดียว
ในน้ำ ฟรังก้าที่ดำลึกลงไปจนถึงระดับหนึ่ง ในที่สุดก็สัมผัสถึงกระจกบานนั้นได้!
ร่างของเธอจางลงในทันใด แล้วหายไปจากตำแหน่งเดิม
บนผิวกระจกโบราณสีเงินที่นอนนิ่งในก้นบึง ร่างของฟรังก้าปรากฏขึ้นทันที
จากนั้น หญิงสาวมุดออกจากกระจก หยิบกระจกขึ้นมาแล้วรีบว่ายกลับสู่ผิวน้ำ ใบหน้าเปี่ยมล้นความยินดี
เมื่อสักครู่เธอยืนยันแล้วว่า กระจกบานนี้เชื่อมต่อกับอุโมงค์ใต้ดินด้านนอกจริงๆ!
ข้างบึงน้ำ เมื่อเห็นว่าระบำเรียกสถิตใกล้จบลง และสัตว์ประหลาดอ้วนพีนั่นก็ชิดเข้ามาทุกที จนแทบจะสัมผัสผิวกันอยู่แล้ว ลูเมี่ยนจึงเริ่มมองบึงน้ำอย่างร้อนรน
หากฟรังก้ายังไม่กลับขึ้น มาเขาคงต้องหยิบนิ้วมิสเตอร์ K ออกมาแล้ว!
จังหวะนั้นเอง เกิดเสียงน้ำกระเพื่อมดังซู่ซ่า ฟรังก้าถือกระจกว่ายมาถึงขอบฝั่ง แล้วดีดตัวกระโดด
เธอเองก็ไม่กล้ามองเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น ก้มหน้างุด วิ่งสองสามก้าวมาหยุดข้างลูเมี่ยน แล้วคว้าข้อมือเด็กหนุ่มไว้
ร่างของทั้งสองค่อยๆ จางลง กระจกโบราณบานดังกล่าวหล่นกระแทกพื้นเสียงดังคร้งเคร้ง
บนผิวกระจกสะท้อนภาพหนึ่ง: ฟรังก้าจูงมือลูเมี่ยน พากันเดินผ่านอุโมงค์มืดที่ไม่สั้นมาก จนมาถึงหน้า ‘ถ้ำ’ ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง ก่อนจะกระโดดออกไปข้างนอก
หลังจากแสงเงาแปรเปลี่ยน ลูเมี่ยนพบว่าตนกำลังยืนอยู่บนทางเดินสลัวๆ โดยมีแสงเล็กๆ ส่องลอดมาจากจุดไกลๆ
ฟรังก้าใช้มืออีกข้างหยิบกระจกตัวแทนเด็กหนุ่มออกมา พบว่าผิวกระจกเต็มไปด้วยรอยร้าวจนใกล้จะแตกเต็มที
“อันตรายไม่ใช่หรือไง…” เธอถอนหายใจด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง
…………………………………………………….